วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ผู้บริหารต้องมีภูมิรู้ ภูมิธรรม และเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำงาน


โดย :  สินเธาว์ ชัยสวัสดิ์ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ สอศ.


ผู้เขียน เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ มามากกว่า 11 ปี ให้ความสำคัญในการปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบและนโยบายที่ได้รับมอบหมาย โดยมุ่งเน้นผลงานที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา สถานประกอบการ หน่วยงาน และชุมชน จากผลงานและประสบการณ์ดังกล่าว เมื่อมารักษาการในตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ จึงมีประโยชน์อย่างมากกับการทำงานในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

การประกันคุณภาพ เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เป็นการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมตามภารกิจปกติของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการทางการศึกษา ทั้งผู้รับบริการโดยตรง ได้แก่ ผู้เรียน ผู้ปกครองและผู้รับบริการทางอ้อม ได้แก่ สถานประกอบการ หน่วยงาน และชุมชนโดยรวม ประกอบด้วย
การประกันคุณภาพภายใน จะมีการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษา และหน่วยงาน ต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้น

การประกันคุณภาพภายนอก จะมีการประเมินผลและการติดตามผลตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา

จากการบริหารสถานศึกษาโดยมุ่งเน้นผลงานที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา สถานประกอบการ หน่วยงาน และชุมชน ส่งผลให้สถานศึกษาได้รับเกียรติบัตรสถานศึกษาดีเด่นที่ได้รับผลการประเมินคุณภาพภายนอกระดับคุณภาพดีมาก จากการประเมินคุณภาพภายนอกทั้งสามรอบ (พ.ศ.2544, 2549 และ 2554) จาก สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ในงานประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2558

การประกันคุณภาพที่ประสบความสำเร็จ มีหลักการและกลยุทธ์ในการทำงาน ดังนี้

หลักในการทำงาน
1. ภาวะผู้นำ หมายถึง สัมพันธภาพในเรื่องของการใช้อิทธิพล ที่มีต่อกันและกัน ระหว่างผู้นำกับผู้ตามที่มุ่งหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยสะท้อนถึงวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันภาวะผู้นำ เกี่ยวข้องกับ การใช้อิทธิพล เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มบุคคล โดยกลุ่มบุคคลเหล่านั้นมีความตั้งใจที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันระหว่างผู้นำกับผู้ตาม
2. หลักธรรมาภิบาล มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ประการ คือ
2.1 หลักนิติธรรม คือการยึดและปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับ มิใช่ทำ ตามอำเภอใจ หรืออำนาจของบุคล
2.2 หลักคุณธรรม คือการยึดมั่นในความถูกต้อง รวมทั้งสร้างค่านิยมให้คนในองค์กร ปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อดทน และขยันหมั่นเพียร
2.3 หลักความโปร่งใส คือการเปิดเผยข้อมูลและให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก
2.4 หลักความมีส่วนร่วม คือการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรับรู้และร่วมเสนอความคิดเห็นในการตัดสินใจในการทำงาน
2.5 หลักความรับผิดชอบ คือการมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงานให้ดีขึ้น
2.6 หลักการคุ้มค่า คือการบริหารจัดการจะต้องยึดหลักความประหยัดและความคุ้มค่า
3. วงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA
3.1 Plan (แผน) คือ การกำหนดเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานวิธีการและขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในการวางแผนจะต้องทำความเข้าใจกับเป้าหมายวัตถุประสงค์ชัดเจน
3.2 Do (ปฏิบัติ) คือ การปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้
3.3 Check (ตรวจสอบ) คือ เป็นกิจกรรมที่มีขึ้นเพื่อประเมินผลว่ามีการปฏิบัติงานตามแผน หรือไม่ มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติงานหรือไม่
3.4 Act (การปรับปรุง) คือ เป็นกิจกรรมที่มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ทำการตรวจสอบแล้ว การปรับปรุงอาจเป็นการแก้ไขแบบเร่งด่วน เฉพาะหน้า หรือการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม

กลยุทธ์ในการทำงาน
1. ภาวะผู้นำของผู้บริหาร
1.1 การมีวิสัยทัศน์ มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพศึกษาของผู้บริหาร
1.2 การเป็นผู้นำในการประกันคุณภาพการศึกษาของผู้บริหาร
1.3 การเป็นผู้นำในการจัดทำมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาของผู้บริหาร
2. การสร้างความตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบ
2.1 การมอบหมายหน้าที่และการรับรู้งานที่ได้รับมอบหมาย
2.2 การสื่อสารจูงใจให้บุคลากรรู้และเข้าใจหน้าที่ ที่มุ่งเน้นคุณภาพ
2.3 การสื่อสารจูงใจให้บุคลากรให้เข้าใจในเรื่องของการประกันคุณภาพ
3. การสร้างความรู้ความเข้าใจ
3.1 การสร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานในหน้าที่ ตามโครงสร้างการบริหารสถานศึกษา
3.2 การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษา
3.3 การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานงาน
3.4 การสร้างความรู้ความเข้าใจมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
4. การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน
4.1 ขั้นตอนการกำหนดมาตรฐานงาน มาตรฐานสาขาวิชา มาตรฐานครู ตามโครงสร้างการบริหารสถานศึกษา
4.2 ขั้นตอนการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
5. การปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วม
5.1 การปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหาร
5.2 การปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษา
5.3 การมีส่วนร่วมของผู้เรียน ผู้ปกครอง
5.4 การมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ หน่วยงาน ชุมชน
6. การกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมิน
6.1 การกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินตนเอง
6.2 การกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินโดยฝ่าย
6.3 การกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินโดยสถานศึกษา
6.4 การกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินโดยสถานประกอบการ หน่วยงาน ชุมชน
7. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด
7.1 ปรับปรุง แก้ไข ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด
7.2 การยอมรับของบุคลากรในสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้ปกครอง สถานประกอบการ หน่วยงาน ชุมชน

จากหลักการและกลยุทธ์ในการทำงาน ทำให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ เกิดประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา สถานประกอบการ หน่วยงาน และชุมชน กล่าวได้ว่า ผู้บริหารต้องมี “ภูมิรู้ ภูมิธรรม และเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำงาน

เบื้องหลัง “ชลบุรีโมเดล” หลักสูตรการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ

รูปธรรมที่สอดคล้องกับนโยยบายเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนในสายอาชีวศึกษา และนโยบายเรื่องการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ (Moderate Class More Knowledge) ของกระทรวงศึกษาธิการ คือการประกาศจังหวัดชลบุรี เรื่อง หลักสูตรการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำของจังหวัดชลบุรี พุทธศักราช 2559  ลงนามโดย นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี

เมื่อนโยบายการศึกษาระดับท้องถิ่นมาควบที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะ ประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) อย่าง คมสัน เอกชัย ผจว.จังหวัดชลบุรี คิดอย่างไร​

“รัฐบาลชุดนี้เห็นว่าปัญหาของการศึกษาแก้ไม่ได้ด้วยกระทรวงศึกษาธิการ ...แก้กันมาหลายยุคหลายสมัยยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง...ด้วยความเคารพ  ไม่ได้ก้าวล่วงกระทรวงศึกษาธิการ แต่ผมเห็นว่าแก้ไม่ได้สัก  กี่รัฐบาลมาแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี และพลเอกดาว์พงษ์ ต้องการให้การจัดอันดับของประเทศไทยเรื่องคุณภาพการศึกษานั้นให้สูงขึ้น

เพราะภาพรวมในการประเมินผลแต่ละปี ของแต่ละหน่วยงานตกต่ำลงเรื่อย ๆ ในอาเซียน  เป็นภาพลักษณ์ที่เกิดความเสียหายระยะยาวท่านคงแก้ปัญหาตรงนี้ ก็เลยกลับมาใช้แนวคิดเดิมในผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน กศจ. จะได้ร่วมกันคิดร่วมกันทำร่วมกันรับผิดชอบ ก็จะได้เกิดเอกภาพ ก็กำหนดยุทธศาสตร์ดูแลการศึกษาแต่ละจังหวัดนั้นให้ไปในแนวทางเดียวกันสอดคล้องกัน”


เบื้องหลังนโยบายการศึกษาเพื่อการมีงานทำ

เมื่อภาระด้านการศึกษาเป็นอีกหนึ่งงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ  คมสัน  เอกชัย ด้วยเป็นชาวชลบุรี พื้นฐานการศึกษาก่อนเข้าเรียนด้านรัฐศาสตร์ เป็นนักปกครองท่านคือนักเรียนสาขาช่างเชื่อม วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี

ดังนั้นความเข้าใจกับความหมายการศึกษาเพื่อการมีงานทำได้ดี...และเข้าใจนักเรียนอาชีวศึกษาได้ดี

“...ส่วนใหญ่คนจะส่งลูกเรียน ม.5-6 หรือ ม.7-8 สมัยก่อนก็จะไปเอ็นทรานซ์ ก็มองเด็กอาชีวศึกษาว่ากลายเป็น...ถ้าเป็นสินค้าก็เป็นสินค้าเหลือเลือก ถ้าเป็นผลไม้ก็ถูกคัดเกรด เป็นเกรด B เกรด C ไม่ถูกเลือก”

แต่การไปเรียนอาชีวะ ได้อะไรมากกว่าที่คิด

“ส่วนใหญ่คนเขาไม่รู้ว่าเข้าไปเรียนอาชีวศึกษาจริง ๆ โรงเรียนอาชีวะสอนให้เด็กอาชีวศึกษาคิดเป็นวางแผนในการทำงานการคิดงาน แต่ละชิ้นคิดงานต้องดีไซน์ต้องออกแบบ มีขั้นตอนมีกระบวนการทำงาน แล้วก็ต้องมีคามอดทน ทำก็ต้องทำให้ละเอียดปราณีต ชิ้นงานออกมาก็จะได้ละเอียดสวยงาม การเรียนการสอนแต่ละครั้ง ครูอาจจะตั้งใจมากเกินไป อาจจะพูดไม่สุภาพ ไม่ไพเราะบ้างก็ตามประสานเด็กช่างกล

แต่คุณสมบัติของเด็กอาชีวศึกษาคือต้องอดทน ...การเอาเหล็กแท่งหนึ่งมาตะไบ  มาฝนให้เป็นรูปโน่นรูปนี่ กว่าจะตะไบได้นี่เหงื่อโทรมกาย  ตะไบกันเป็นเดือน ๆ บางคนตะไบเสร็จแล้วก็ไม่ผ่าน ต้องตะไบใหม่ ถ้าคนไม่มีความอดทนทำไม่ได้หรอก...จำเป็นต้องฝึกบ้างครั้งทำจนมือแตกเลย บ้างก็ปีนหลังคา ซ่อมหลังคา ต้องปีนได้ ขึ้นไปที่สูงได้ จิตใจต้องถือว่าเข้มแข็งแล้วก็กล้าหาญพอสมควรฝึกงานกลางแจ้งได้
ผมถูกฝึกให้ทำงานกลางแจ้งได้ตากแดดได้ ตากฝนได้ แล้วก็รักกันช่วยเหลือกัน ทำงานเป็นกลุ่มทำงานเป็นทีม  อันนี้เป็นลักษณะนิสัยของคนอาชีวศึกษา ซึ่งก็ติดตัวมาโดยไม่รู้ตัว

...รุ่นผมนี่เข้าเรียน 31 คน พอขึ้นปี 3 หายไปจนไปเหลือแค่ 14 คน ที่จบการศึกษาระดับ ปวช.”

ด้วยบุคลิกกว้างขวาง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เส้นทางนักเรียนอาชีวะเปลี่ยนไป ขณะที่เพื่อนร่วมห้องมีเส้นทางการทำงานในวิชาชีพที่ดี

“จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับตัวผมช่วงที่เรียนอยู่นี่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนนักเรียนให้ผมเป็นประธานนักเรียน เป็นผู้นำนักเรียน  อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้จักเพื่อนในโรงเรียนที่เป็นนักเรียนทุกระดับ เรียนปี 1 ก็มีเพื่อนปี 2-3  ก็รู้จักกันหมด ...ผมเป็นประธานนักเรียนเพื่อจะได้ดูแลนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ เป็นตัวแทนของนักเรียน ช่วยเหลือครูบาอาจารย์ช่วยดูแลเพื่อนนักเรียนเรื่องความประพฤติ อะไรต่าง ๆ นำนักเรียนไปในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม

...และมีโอกาสทำงานด้านสังคมเรื่องกิจกรรมการศึกษาของนักเรียนทำให้มีประสบการณ์ จริง ๆ แล้วการที่ได้สัมผัสกับหน่วยงานราชการ ที่ว่าการอำเภอ กับปลัดอำเภอนี่ กับเทศบาล ก็เลยมีความคิดว่าถ้าเรารับราชการเป็นปลัดอำเภอนี่เราก็จะมีโอกาสช่วยเหลือประชาชนได้มาก ใครเดือดร้อนอะไรเราก็ช่วยได้

ซึ่งเมื่อเอาดำรงตำแหน่งจริง ๆ เราก็สามารถใช้อำนาจหน้าที่ของเราบทบาทของเรา ที่มีอยู่ในการช่วยเหลือประชาชนได้ ให้ความเป็นธรรมกับเขาได้ ก็ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของราชการดีขึ้น ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนตรงนี้”


หลักสูตรการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ
คือเพิ่มศักยภาพปลูกฝังวิชาชีพแก่ผู้เรียน

แต่เมื่อมีชื่อ คมสัน เอกชัย เป็นพ่อเมืองความเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาในจังหวัดชลบุรีก็เกิดขึ้น กับแนวคิดในการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ (Area-Based Education) เป็นหนึ่งในนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ ในการเพิ่มศักยภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของบริบทในพื้นที่ โดยเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ร่วมคิดและร่วมกันกำหนดทิศทางและความต้องการในการจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนได้เอง จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “คณะกรรมการจังหวัดปฏิรูปการเรียนรู้จังหวัดชลบุรี” ขึ้น ประกอบด้วยคณะทำงาน 5 คณะ ได้แก่ 1) คณะทำข้อมูลจังหวัด 2) คณะทำแผนยุทธศาสตร์ 3) คณะจัดทำหลักสูตร 4) คณะนิเทศติดตาม และ 5) คณะรณรงค์สื่อสาร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นประธาน
       
ผู้ว่าฯ คมสัน ลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า  “เมื่อวิเคราะห์ถึงรายได้หลักของจังหวัดชลบุรีที่มาจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม แต่สภาพความเป็นจริงกลับพบว่า จังหวัดชลบุรีขาดแคลนแรงงานทั้งในระดับกลางและสูงมากถึง 248,862 คนต่อปี โดยกว่าร้อยละ 80 ต้องการแรงงานช่างฝีมือในระดับ ปวช.และ ปวส. และต้องการแรงงานในระดับปริญญาตรีเพียงร้อยละ 11 ฉะนั้นเพื่อนำไปสู่การจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำเพื่อตอบโจทย์เด็กเยาวชนจังหวัดชลบุรี

คณะกรรมการฯดังกล่าวจึงร่วมกันจัดทำหลักสูตรการเตรียมความพร้อมของเด็กเยาวชนในทุกระดับชั้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย ถึงอุดมศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โรงเรียนนำไปใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพในทุกช่วงชั้น ภายใต้ “ชลบุรีโมเดล” (CHONBURI Model) จึงมุ่งเน้นการเตรียมพร้อมผู้เรียนมีคุณลักษณะนิสัยอุตสาหกรรมในทุกระดับ ชั้นเพื่อเตรียมความพร้อมเด็กเยาวชนเข้าสู่การประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีคุณภาพ”

แต่อย่างไรก็ตาม เหตุผลประการสำคัญของสร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมาก็เพื่อ เพิ่มศักยภาพด้านการประกอบอาชีพให้ผู้เรียน

“ผมไม่ได้เน้นเรื่องอาชีวศึกษา และเน้นอุตสาหกรรมอย่างเดียว ใครมีความสามารถด้านศิลปะใครมีความสามารถทางด้านดนตรี ใครมีความสามารถด้านการแสดง ก็สามารถมีงานทำได้ ใครมีความสามารถด้านการทำขนม ทำอาหาร ซึ่งจังหวัดชลบุรีมีร้านอาหาร สามารถรับรองผู้มีความสามารถในแต่ละด้านได้  หรือจากการเป็นพนักงานในห้างร้านในนิติบุคคลแล้วก็ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของกิจการเองได้ เริ่มเป็น SME เป็น starup ตามนโยบายรัฐบาล คือไม่ต้องเน้นว่าต้องมาเรียนอาชีวศึกษา คือเรียนมาแล้วให้มีงานทำ ให้เป็นรายได้ไม่เป็นภาระต่อสังคม”

ดร.วรรณา ตันประภัสร์  วิทยาลัยเทคโนโลยีชลบุรี เลขานุการคณะทำงานชุดคณะกรรมการการจัดทำหลักสูตรระดับอาชีวศึกษา ให้ความเห็นสอดรับกับนโยบาย

“ดิฉันมองว่ามันสอดคล้องกับบริบททางการศึกษา ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน ตามชื่อโครงการ เราก็มาวิเคราะห์บริบทของจังหวัดชลบุรี อย่างที่บอกไปแล้วว่าชลบุรีเป็นเมืองอุตสาหกรรม มีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมาก แล้วก็ยังเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในเรื่องของโลจิสติก ซึ่งมีความจำเป็นอนาคตต่อไป  ส่วนของวิทยาลัยเราก็เน้นวิชาการใหม่ ๆ ยังในเรื่องของรถไฟระบบรางซึ่งตอนนี้ เราก็มีส่วนในการเปิดหลักสูตรส่งครูไป  เตรียมการอบรมในการเตรียมการเปิดสอนในปีการศึกษา 2559 นี้

...ก็คิดว่าตรงประเด็นเลยในการที่มีแนวทางการจัดการศึกษาในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำโดยเฉพาะเรื่องอาชีวศึกษาตอบได้ตรงประเด็นดิฉันคิดว่าน่าจะสอดคล้อง

มีตัวอย่างที่เป็นบริบทน่าสนใจที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่นมองเห็นนโยบายการเตรียมคนดิฉันว่าการที่ถ้าเราจะพัฒนาประเทศ ถ้าเรามีคนที่คุณภาพ จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะให้เจริญก้าวหน้า ตรงนี้คิดว่าเป็นงานที่ท้าทายมีส่วนช่วยประเทศได้ในการผลิตกำลังคน ในส่วนที่เรารับผิดชอบ เพราะฉะนั้นตรงนี้ทำอย่างไรที่เราจะผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพเราคงไม่สามารถสร้างทั้งหมดแต่เราฐานะเปนนัการศึกษาให้ความรู้มาเพื่อผลิตกำลังคนอาชีวศึกษา”

เรียกร้องขอคนการศึกษามีทัศนคติ
เพื่อร่วมพัฒนาการศึกษาชาติ

เมื่อมารับผิดนโยบายการศึกษาด้วยแล้ว ข้อเรียกร้องโดยรวมของ ประธาน กศจ.จังหวัดชลบุรี คือ

“ขณะนี้ผู้อำนวยการพื้นที่ประถมศึกษาทั้งที่ 3 เขต และผู้อำนวยการเขตพื้นที่มัธยมศึกษาไม่สามารถทำให้ประสบผลสำเร็จได้ ถ้าผู้บริหารโรงเรียน ทุกแห่งและครูบาอาจารย์ ที่มีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบ ไม่ให้ความร่วมมือกับภาคเอกชน ที่จะได้เป็นตัวขับเคลื่อน  ให้เกิดเคลื่อนตัวไป สู่เป้าหมายในการให้ความรู้ไปสู่นักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครองว่าเราเน้นส่งบุตรหลานให้เรียน  ค้นหาให้นักเรียนแต่ละคนว่ามีเขามีศักยภาพด้านไหน มีความสามารถ เขามีพรสวรรค์ด้านไหน เพื่อดังศักยภาพเขาเข้ามาแล้วก็ตอบสนอง การทำงานสถานประกอบการต่าง ๆ

....ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ความร่วมมือและความสำเร็จอยู่ที่ครูอาจารย์ด้วย มองบริบทสังคมออก เลิกคิดแนวคิดเดิม ๆ ว่า ต้องส่งลูกเรียนจบปริญญาก็เจอปัญหาเดิม ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กเองเขาอาจมีศักยภาพความสามารถด้านอื่น ๆ ซึ่งก็ทราบแล้วว่าการเรียนจบปริญญาตรี ด้านสังคมศาสตร์จบแล้วไม่มีงานทำ หรือทำงานไม่ตรงกับสาขาที่เราเรียนมา หรือว่างงานไปเลยมีอีกมากมาย เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดความสูญเปล่าด้านการศึกษา พ่อแม่ก็เสียเงินเปล่าประโยชน์บางครั้งก็เป็นหนี้สินเป็นสินด้วยซ้ำ เพื่อส่งลูกให้เรียนจบปริญญา

เรื่องนี้เป็นปัญหาในสังคมไทยมานานแล้วไม่มีใครหยิบยกมาพูด ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ก็ตรงกับที่จังหวัดชลบุรีได้ทำอยู่พอดี และเพิ่มเวลารู้ก็จะได้รู้ว่าอุปนิสัยของนักเรียนว่าคนไหน ชอบฝึกค้าขาย ฝึกการแสดงออก  ค้นหาตัวเองอย่างไรก็ให้เวลาลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ได้ค้นหาศักยภาพของนักเรียน
 เช่น เขาค้าขาย เรียนภาษาอังกฤษ ฝึกภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะเหล่านี้ทุกอย่างล้วนเป็นองค์ประกอบ ให้เขาเติบโตแล้วเข้มเข็ง เป็นฐานรากที่สำคัญในการประกอบอาชีพได้”

พ่อเมืองชลบุรีกล่าวพร้อมทิ้งท้ายไว้เป็นข้อคิด สำหรับส่วนงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง

“…อุปสรรค ผมมองเรื่องอุปสรรคเป็นเรื่องปกติก็เห็นอยู่แล้ว เพราะทัศนคติเดิม ๆ ของผู้ปกครอง กับครูบาอาจารย์ หรือผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมที่มี ม.4-5-6  ที่มีเงินอุดหนุนรายหัว นี่จะเป็นปัญหาว่าจะทำให้เด็ก ๆ ของเขาลดลงไป

การที่เด็กหันไปเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น เขาเองต้องปรับเปลี่ยนว่าสถานศึกษาต้องตอบปัญหาสูงสุดของประชาชน เป็นประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง  ไม่ใช่ว่าตอบสนองสถาบันการศึกษาใดสถานศึกษาหนึ่ง”

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฝึกงานคือฝึกตนเป็นให้ฝีมือชนด้วย “อีสานเหนือโมเดล”

รูปแบบการเรียน การสอนหนึ่งที่เกิดขึ้นยังจังหวัดอุดรธานี ที่ถือว่ามีรูปแบบที่ถือว่าเป็นตัวอย่างของการปฏิรูปการอาชีวศึกษาได้ดี คือ “อีสานเหนือโมเดล” เป็นการสร้างผู้เรียนให้เกิดสำนึกรักและมีทัศนะที่ดีกับการเรียนอาชีวศึกษาก่อนจะส่งไปฝึกงานยังสถานประกอบการ ซึ่งเป็นทวิภาคี 1 ปี แล้วกลับมาเรียนเพิ่มเพื่ออีก 1 ปี เป็นหลักสูตร 3 บวก 2 (ปวช.และ ปวส.รวมกัน) 


บุคคลที่เป็นแกนหลักของการจัดรูปแบบการสอนนี้ขึ้นมาคือ อนุพงค์ มกรานุรักษ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ และอุปนายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย นำความภูมิใจมาเปิดเผยหลังจัดการเรียนการสอนมาร่วม 10 ปี


แก้ปัญหาขาดทักษะ ด้วยการเรียน Project-Based 


ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ เปิดเผยถึงระยะเริ่มต้นการทำอีสานเหนือโมเดลว่า เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากการเรียนรู้ขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเรื่องของการบูรณะหลักสูตรเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผู้เรียน จุดหลักมองว่าหลักสูตรที่ใช้ในการเรียนการสอน เป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนเป็นพื่นฐานวิชาความรู้ต้องมีทักษะมาระดับหนึ่งแล้ว


“...เพราะฉะนั้นด้วยพันธกิจของเราที่จะสร้างนักวิชาชีพ อยากให้ผู้เรียน เรียนสายอาชีพแล้ว แล้วก็ออกไปประกอบวิชาชีพอย่างแท้จริง การเรียนการสอนต้องเน้นการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็หัวใจการจัดการเรียนการสอนอาชีพศึกษาจริง ๆ ควรจะเป็นรูปแบบทวิภาคี เราบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมาว่าทำอย่างไรเราจะจัดการเรียนการสอน ให้เด็กได้สอนใจและมีความรู้อย่างมีความสุข

เราก็ได้พบว่าเรียนรู้โดยผ่านการ Project-Based โดยนำเอาชิ้นงานเอาเรื่องราวที่ต้องการมาสร้างนั้นพูดเลย ขึ้นมาเรียนเลย เสร็จแล้วเราก็นำเอาทฤษฎีในแต่ละศาสตร์เข้าใส่ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เด็กมีความอย่างเรียน เด็กมีความสนุก แล้วก็อยู่กับงานนั้นโดยที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เเรียนหนังสือ”

จากรูปแบบการเรียนการสอนที่เรียกว่าอีสานเหนือโมเดลนี้ วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ ได้อะไรบ้าง

“ถ้านำ KPI มาวัด ผมจะประสบผลสำเร็จ ถ้ามีเด็กนักเรียน ตั้งใจมาเรียนสถิติการมาเรียนเพิ่มขึ้นมากแล้วเด็กสนใจ ใส่ใจ เราถือว่านั้นเป็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่ได้เกินคาด สามารถสร้างเด็กได้ติดทีมชาติ ให้เด็กนักเรียนสามารถคว้ารางวัลพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ถ้วยคิงส์คัพมาครอง ซึ่งสิ่งที่เราทำนั้น เราปลุกให้เด็กทุก ๆ คน ไม่ได้สอนและไม่ได้ปั้นให้แค่เด็ก 2-3 คนว่าเอา 2-3 คนปั้นให้ติดทีมชาติ แต่วิทยาลัยอีสานเหนือเน้นหนักไปที่เราจะทำอย่างให้เด็ก 80 เปอร์เซ็นต์ของวิทยาลัยเรียนรู้ได้อย่างมีทักษะอย่างมีวิชาชีพ อย่างแท้จริง

สำหรับคนที่โดดเด่น ก็คือ โอเค หมายถึงคุณโดดเด่นนั้นคือคุณเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่เราอยากเห็นว่า ถ้าคุณสำเร็จการศึกษาคุณสามารถออกไปประกอบวิชาชีพ คุณสามารถเอาไปหาเลี้ยงตัวเอง มีองค์ความรู้ต่าง ๆ นานา”

ฝึกงานฝึกตนเป็นฝีมือชนคนสร้างชาติ 

องค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของอีสานเหนือโมเดลคือ การจัดหลักสูตรที่เน้นทวิภาคีที่ยั่งยืน เฉลิมพล วุฒินันท์ธนิศา รองฝ่ายทวิภาคี วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ เปิดเผยว่า ระบบทวิภาคีที่โดดเด่นของวิทยาลัย เทคโนโลยีอีสานเหนือคือ ทางวิทยาลัยจะคัดเลือกสถานประกอบการ ขั้นตอนแรกคือการจะคัดเลือกสถานประกอบการขั้นตอนที่ดี ที่ผ่านมาวิทยาลัยฯ ทำความร่วมมือกับบริษัทฮอนด้าออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด บริษัทแคนนอนไฮเทคประเทศไทย และ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด

“สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งเขาจะมีระบบและการบริหารงานที่ดี ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจะเลือกสถานประกอบการคือ เราจะเลือกจากวัฒนธรรมองค์กรที่ดีก่อน”

แต่ก่อนจะส่งนักเรียนเข้าฝึกงานมีกระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรเริ่มต้นมาก่อนแล้ว

รองฝ่ายทวิภาคี ของวิทยาลัยฯ กล่าว่า “ส่วนใหญ่กระบวนการจัดทำอีสานเหนือโมเดล คือ ปีที่ 1 เราจะปลูกฝังเกี่ยวกับความเป็นจิตอาสา ปีที่ 2 เราจะให้เด็กเลือกสถานประกอบการโดยที่สถานประกอบการแต่ละบริษัท สถานประกอบการจะเข้ามาประชาสัมพันธ์ที่วิทยาลัย หลังจากนั้นเด็กจะเป็นคนเลือกเอง

ปี 2 เด็กจะเลือกเองว่าไปไหน ปี 3 เด็กจะฝึกฝนเทรนนิ่งทักษะเฉพาะทาง แล้วเด็กจะเทรนนิ่งเฉพาะทาง สุดท้ายเราก็จะให้เด็กเป็นคนเลือก เด็กผู้ชายจะไปฮอนด้า เด็กผู้หญิงหรือสายพาณิชย์จะไปสายบริหารหรือแคนนอน”

แต่กว่าจะได้รูปแบบที่เป็นแบบอย่างได้อย่างทุกวันนี้ก็มีการลองผิดลองถูกมาด้วยเช่นกัน


“...ก่อนนี้เมื่อเราจะทำแรก ๆ ก็จะเกิดปัญหาเด็กไม่มีความพร้อม แต่หลังจากที่เราทำมาได้ตอนนี้ 10 ปีแล้ว สิ่งที่เราได้ตอนนี้ คือมีความพร้อมแล้ว เพราะว่าที่เกิดขึ้นในปีแรก ๆ เราเอามาปรับปรุงแก้ไข ตอนนี้เราได้รับการยอมรับจากสถานประกอบการว่าเด็กเรามีความอดทนมีระเบียบวินัย และที่สำคัญคือเด็กมีความองค์กร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเรียกว่านิสัยอุตสาหกรรม เพราะว่าวิทยาลัยของเราส่งเด็กไปฝึกงาน 1 ปี ซึ่งแตกต่างจากหลาย ๆ สถาบัน ซึ่งบางสถาบันปีฝึก 4 เดือน 6 เดือน แต่เราไปฝึก 1 ปีครับ เพราะเราเชื่อว่า 1 ปีจะหล่อหลอมเด็ก”


หล่อหลอมวินัยด้วยวัฒนธรรมองค์กร

แล้วทำไมต้องบริษัทญี่ปุ่น คำตอบของผู้บริหารท่านนี้คือ   “บริษัทญี่ปุ่นจะหล่อหลอมเด็กให้มีนิสัยอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นนิสัยที่สถานประกอบการอย่างได้เพราะว่าปัจจุบันนี่ สถานประกอบการไม่อยากได้คนเก่ง แต่อยากได้คนที่มีความอดทนมีระเบียบวินัยมีความรักองค์กร คุณภาพของเด็กที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้ขึ้นกับสถานประกอบการ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานประกอบการที่มีคุณภาพ



ดังนั้นในอนาคตสถานประกอบการที่มีคุณภาพ ในการที่ให้เด็กไปสถานประกอบการคิดว่านะจะเพิ่มแต่ต้องคิดดูอยู่ที่คุณภาพ และระบบการดูแลของสถาน ประกอบการ

…ส่วนเหตุผลที่ทางวิทยาลัยต้องส่งนักศึกษาไปฝึกงานไกล ๆ อย่างที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา เพราะว่าเราคิดว่าถ้าเด็กอยู่ภายใต้โอบกอดของผู้ปกครอง ถ้าเด็กเหนื่อยลำบาก เด็กก็จะหยุดฝึกงานเลย โดยที่พ่อแม่ไม่มี พาว์เวอร์ให้เด็กกลับไปฝึกงานได้เลย แต่ถ้าเราเอาเด็กไปไกลสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจอย่างดี แล้วเราก็เด็ดขาดพอนะครับที่จะพอว่าถ้านักศึกษาไม่มีความสามารถพอที่จะอยู่ในกระบวนการเรียนรู้อย่างนี้ได้”

ในส่วนตัวนักศึกษาที่ผ่านการฝึกงานมา 2 คนที่เข้ามาเรียน ปวส.2 ก่อนจบการศึกษา มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีคำบอกเล่า

วีระชัย สินศิริ ปวส. 2 บอกว่า ไปฝึกงานที่ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์(ประเทศไทย) จำกัด ทำเกี่ยวกับควบคุมกับเครื่องจักรการปั้มขึ้นรูป

“ถึงตอนนี้ผมก็ฝึกความอดทน คือเข้ากะดึก กะเช้า 2 คือการอยู่หอร่วมกับเพื่อน แล้วก็ตรงต่อเวลา”

กิตติมา ทิพย์สุภา ปวส. 2 กันเช่น บอกว่า “หนูจะอยู่ในเรื่องพิมพ์ที่จะเป็นเครื่องอะไหล่ของเครื่องเสียง ประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทน ความขยัน แล้วก็การตรงต่อเวลาเพราะว่า ตัวหนูเองฐานะไม่ค่อยดี พ่อแม่ก็ทำงานทุกวัน โดยที่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี สิ่งทีไ่ด้นอกจากความมีวินัยแล้วยังมีความรักองค์กร จากที่ไม่เคยทำงานแล้วมาได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นแปดพันบาทถือว่าสูงมาก สำหรับนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งแล้วก็ยังสามารถ ก็สามารถส่งกลับครอบครัว ให้มีรายได้และสามารถสร้างฝัน อีกหนึ่งฝันคือสร้างบ้านหลังใหม่ให้แม่ได้อีก”

หลังผ่านการฝึกงานมานักศึกษาเป็นอย่างไรบ้างพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เมื่อมาเรียนอีก 1 ปี ก่อนจบการศึกษา รองฝ่ายทวิภาคี วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ กล่าวว่า

“อย่างแรกคือการมีระเบียบวินัยของเขา มาเข้าแถวทุกเช้าด้านระเบียบวินัยเครื่องแต่งกายนี่ต้องบอกว่าแป๊ะมาก และที่สำคัญคือเขามีใจอยากที่จะเรียน เมื่อก่อนตอนอยู่ ปวช 2-3 เด็กไม่ตั้งใจเรียน จะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เห็นความสำคัญของการทำงาน แต่พอหลังเด็กกลับมาเด็จจะตั้งใจเรียนมาก

แล้วพอเรายกตัวอย่างอะไรเกี่ยวเกียวโลกภายนอกเด็กเด็กก็จะเข้าใจครับ เหมือนกับว่าเราเรียน Inside Out เรียนจากข้างนอกมา แล้วพอเรายกตัวอย่างเขาจะเข้าใจ

สุดท้ายเด็กรู้จักการเก็บเงิน เพราะว่าเด็กได้ไปฝึกอาชีพทำให้รู้ว่าเงินมีค่า ก่อนที่เขาจะขอพ่อแม่แต่ละบาทเมื่อก่อนเขาขอไม่ได้คิดปัจจุบันนี้เด็กรู้จักการใช้เงินมากครับ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เยาวชนไทยในอนาคตต้องมีครับ”