
เป็นคนแรกของประเทศไทย ในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาขอจัดตั้งรางวัลระดับนานาชาติ เพื่อเฉลิม พระเกียรติ พระปรีชาด้านการศึกษา พระราชทานพระราชานุญาต ตั้งพระนาม “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี" ยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาใน 11 ประเทศอาเซียน
ครูเฉลิมพร พงศ์ธีระวรรณ เกิด 15 พ.ย. 2500 จบประกาศนียบัตรวิชาชีพครู วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช สำเร็จปริญญาการศึกษาบัณฑิต เอกฟิสิกส์ โทรคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา สอนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จนถึงปัจจุบัน 35 ปีแล้ว
ยึดแนวคิด กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัย ตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เป้าหมายเพื่อให้ศิษย์เกิดทักษะการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ เป็นอาวุธทางปัญญาที่จะนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต
ด้วยมีเจตคติที่ดีกับอาชีพครูจึงมีวันนี้ขึ้นมา
“ชีวิตและอาชีพครูของผม คิดว่าเริ่มตั้งแต่สมัยมัธยม เพราะเห็นว่าคุณครูเป็นผู้มีอิทธิพลทุกเรื่อง
ผมมองว่าครู้เป็นนักปราชญ์เป็นผู้รู้ ครูเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีก็ได้นะ ครูเป็นวิศวกรก็ได้ ซ่อมโน้นซ้อมนี่ทำนั่นทำนี่ได้ เป็นจิตกรก็ได้ ครูเป็นหมอ พยาบาลก็ได้เมื่อลูกศิษย์เจ็บป๋วยก็พามาห้องพยาบาล ต่าง ๆ นา ๆ
ผมเป็นว่าบทบาทของครูสำคัญมากไม่ใช่ เฉพาะสอนหนังสือ ผมก็คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นครู”
หลังจากจบการศึกษาบัณฑิตแล้วครูลงบรรจุและสอนคือที่นี่เลย...
“ครับก็อยู่สุราษฏร์พิทยาอยู่ 35 ปี ไม่ได้ย้ายไปไหนเลยครับ”
ภาพรวมวิธีการสอนของครู จากอดีตที่ผ่านมารูปแบบการสอนแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ
“เมื่อก่อนก็สอนแบบครูทั่วไปนี่แหละครับ ก็คือสอนให้นักเรียนรู้จำ นำไปทำข้อสอบ แต่ว่าสอนไป ๆ ก็กลับมาย้อนดูว่าสอนไป ๆ ๆ สักพักหนึ่งนักเรียนก็ลืมหมดแล้ว บางคนไปเรียนมหาวิทยาลัย,kบอกว่าความรู้ที่อาจารย์สอนผมไม่ได้ใช่เลย
เพราะฉะนั้นเราก็กลับไปพิจารณาว่าทำอย่างไรให้การเรียน และการสอนของเราเรียนรู้อย่างมีความหมาย ก็หาวิธีแล้วพบว่าโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีหนึ่งที่ให้นักเรียนนั้น สามารถที่จะนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเขาได้ แล้วก็พยายามนำเอาความรู้ให้มาเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตประจำวันของเขา พยายามสร้างเนื้อหาให้ใกล้เคียงกับกับชีวิตประจำวัน ต้องให้เขาเรียนแล้วรู้ว่าเรียนแล้วไปทำอะไรได้บ้าง”
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการสอน
“จุดเปลี่ยนก็น่าจะเสียงสะท้อนมาจากการลูกศิษย์ เพราะบางคนบอกว่าวิชาที่เรียนไปไม่ได้ใช้อะไรเลยเพราะฉะนั้นเราก็กลับมาคิดว่า เราน่าจะเปลี่ยนวิธีการเรียน การสอน
เพราะความรู้ที่เรียนไปเหมือนไม่มีความหมาย เพราะเขาจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้วก็ ผมก็พยายามสอนถึงเรื่องกระบวนการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ว่าทำอย่างถึงจะให้เขาสืบค้นองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะความรู้ในโลกนี้มีมากมายมหาศาล ไม่สามารถสอนกันในวันสองวันหรือปีสองปีได้หมด เพราะฉะนั้นนักเรียนทุกคนก็ควรมีกระบวนการเรียนรู้ที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
...อันนี้ก็ต้องอาศับการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน”
อุปสรรคหรือความลำบากอย่างไรในการเริ่มต้นสอนในขณะที่ยุคนั้นการสอนโครงงานยังไม่บูม หรือยังไม่เป็นที่รู้จัก
“ตอนเริ่มต้นก็ค่อนข้างลำบากในเรื่องเอกสารครับ ตำราต่าง ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์เพราะว่า เป็นช่วงยุคเริ่มต้น เพราะว่าตอนที่ผมทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ก็มีโรงเรียนแถวจังหวัดนครสวรรค์ที่เขาดังเรื่องโครงงานวิทยาศาสตร์มากก่อน ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่นั่น ก็ได้ศึกษาดูงานที่โรงเรียนนครสวรรรค์ โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ ก็ได้คุยกับอาจารย์ประดิษย์ เหล่าเนตร ท่านเป็นครูแห่งชาติ ท่านก็กรุณาให้เอกสารมาศึกษา ก็เป็นเอกสารชุดแรก ๆ ที่ผมได้เรื่องเกี่ยวกับโครงงาน หลังจากนั้นทางกระทรวงก็มีหนังสือเกี่ยวโครงงานออกมา 2 เล่ม
ก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมไปตรงนั้นแล้วก็มาประยุกตฺมาใช้กับตัวเองเพื่อปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน”
ประสบการณ์การสอนโครงงานที่ครูประทับใจ และประสบความสำเร็จยกตัวอย่างได้ไหม
“โครงการที่ประสบผลสำเร็จมีหลายเรื่องด้วยกันนะครับ เริ่มตั้งแต่ยุคแรก ๆ ทำแขนกลหว่านอาหารกุ้ง ผมก็ให้นักเเรียนคิดเกี่ยวกับปัญหาในท้องถิ่น ยุคนั้นนนากุ้งกำลังบูมครับ มีปัญหาว่าจ้างคนหว่านอาหารกุ้ง ก็เลยคิดแขนกลงขึ้นมา มีนักเรียนผลิตแขนกลขึ้นมาเพื่อหว่านอาหารกุ้ง ซึ่งก็ได้รับรางวัลที่ 1 ระดับประเทศ ถือเป็นเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลระดับประเทศ
อันนั้นก็ถือว่าดีใจมาก หลังจากนั้นก็ได้รับการพัฒนาวิธีการอสอนนักเรียนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราได้ไปแข่งขันระดับนานาชาติ แล้วก็ระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือในงานอินเทล ไอเซฟ” (Intel ISEF) ในประเทศสหรัฐ ในปี 2554 หรือ ค.ศ.2011 เราได้ที่ 1 ระดับโลก และชื่อของนักเรียน 3 คน ได้รับเกียรติตั้งชื่อเป็นดาวเคราะห์น้อยในจักรวาล 3 ดวงด้วยกัน”
ขณะนี้ 3 คนนั้นประสบความเสร็จอย่างไรไหม
“ก็เรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคนหนึ่ง เรียนอยู่คณะเกษตรศาสตร์ ม.เกตรศาสตร์ คนหนึ่งแล้วก็เรียนคณะเภสัชศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์อีกคนหนึ่ง ก็ศึกษาไปทางด้านวิทยาศาสตร์ทุกคน”
ก็ทำแผนการเรียนครูคิดว่าอยากลำบากไหมในการคิดโครงงานให้เด็กทำ
“จริง ๆ แล้ววิชาโครงงานเป็นวิชาที่บูรณาการ บูรณาการหลายกลุ่มสาระเรียนรู้เข้าด้วยกัน คือบอกนักเรียนว่าไม่สามารถยึดถือศาสตร์ใดศาสตร์ได้ ทุกศาสตร์ไม่สามารถยืนอยู่ด้วยตัวมันเองได้ ทุกศาสตร์ล้วนเกี่ยวพันกัน เพราะฉะนั้นเมื่อทุกศาสตร์ล้วนเกี่ยวพันกันกิจกรรมโครงงาน จะบูรณาการทุกวิชาเข้าด้วยกัน
เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าหลุดมาตรฐานไหม ก็บอกว่าไม่หลุดหรอกครับ ซึ่งโครงงานเป็นวิธีการเรียนรู้ศาสตร์เหล่านั้น แล้วผสมผสานเนื้อหาเข้าไปในโครงงานนั้น เพราะฉะนั้นนักเรียน เรียนด้วยความสนใจ ด้วยความสนุกนักเรียนก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ตัวเองแล้วก็สามารถพบองค์ความรู้ด้วยตนเองก็จะได้ผลการเรียนรู้ที่เรียกว่า ผลการเรียนรู้ที่คงทน ที่จะติดตัวนักเรียนไป”
พิจารณาความสำเร็จของครูเกี่ยวกับบริบทของโรงเรียนที่เอื้อต่อการคิดโครงการหรือเปล่า
“คืออย่างนี้ครับ ผมให้นักเรียนทำงานอยู่ในบริบทของพื้นที่ ที่สุราษฏร์ธานีเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เป็นสวนยาง ทำประมง ทำสวนปาล์มเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผมก็ให้นักเรียนใช้พื้นที่ท้องถิ่นเขาเป็นบริบทเป็นฐาน ให้เขาคิดเรียนรู้ให้เขาคิดเรื่องบริบทชีวิตของเขา
เพราะฉะนั้นเรื่องที่เขาทำสามารถนำกลับไปใช้ในท้องถิ่นได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ดูดเก็บน้ำยางอะไรแบบนี้ หรือวิธีการผสมปาล์มทำอย่างไรถึงจะผสมปาล์มให้ติดลูกดก ในท้องถิ่นทิ้งน้ำยางเหม็นทำอย่างไรถึงจะบำบัดกลิ่นได้ ทำอย่างไรเอาของเสียให้เป็นของดี ก็เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นสื่อการเรียนการสอน ทำแบบนี้ก็ให้นักเรียนได้รางวัลระดับนานาชาติและระดับโลก
วิธีการกระตุ้นเด็กให้ขวนขวายหาความรู้ใหม่ ครูมีวิธีอะไรพิเศษหรือตัวช่วยอย่างไร
“คือในการหาความรู้ผมเองก็หาความรู้อยู่โดยตลอด เพราะว่าถ้าเราไม่หาความรู้นักเรียนก็จะไม่มีตัวอย่างว่าจริง ๆ แล้วความรู้หาตลอดเวลา เพราะความรู้เกิดขึ้นทุกวันตลอดเวลา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมพูดคุยกับนักเรียนว่าการที่เราทำโครงงานก็เป็นวิธีการหาความรู้อีกแบบหนึ่ง ซึ่งในชีวิตประจำวันของเรามีความรู้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ถ้าเราเรียนรู้ความรู้ที่เขาพบมาแล้ว ซึ่งก็มีมากมายเขาก็เรียนไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีวิธีการกระบวนการเรียนรู้ แล้วก็หาสิ่งเหมาะกับตัวเรา”
แต่ครูก็มีเครื่องมือที่ให้เด็กเข้าถึงกระบวนการคิด และหาความรู้ อย่าง “ก้างปลาคู่ผู้พิชิต” และ “หมวก 6 ใบ” ครูอธิบายได้ไหม
“แนวคิดการเขียนโครงงานโดนนำก้างปลาคู่ (ก้างปลาผู้พิชิต) มาเป็นตัวช่วยให้นักเรียนคิดได้ถูกทางและคิดได้คล่องมากขึ้น
ก้างปลาคู่นี้จะประกอบด้วยปลาสองตัว ปลาตัวแรกจะระบุปัญหาและนักเรียนจะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา ปลาตัวที่สองนักเรียนจะต้องเลือกสาเหตุของปัญหามาจากปลาตัวที่หนึ่ง
ก้างปลาตัวแรกจะเป็นการวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ ให้เขาเอาปัญหามาไว้ที่หัวปลา และก้างปลาเป็นสาเหตุต่างๆ การที่เขาจะรู้สาเหตุของปัญหา เขาจะต้องไปหามาก่อน ไม่ใช่นึกเอาเองว่าปัญหามาจากไหน เขาต้องไปค้นคว้าจากแหล่งต่างๆเที่เขาพอจะสืบค้นได้ เพื่อที่จะมาตอบก้างปลาแต่ละก้างของเขาให้ได้เยอะที่สุด
เมื่อรู้สาเหตุของปัญหาแล้ว ก็ให้เขาเลือกสาเหตุที่เห็นว่าสำคัญและสนใจมาหนึ่งสาเหตุ เอาไปใส่ไว้ในหัวปลาตัวที่สอง
และก้างปลาตัวที่สองก็จะเป็นวิธีการแก้ เพราะฉะนั้นเขาก็จะหาวิธีการแก้ต่อไปอีกว่า จะแก้ได้โดยวิธีใดบ้าง ตั้งเป็นสมมุติฐานอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ที่เขาค้นคว้ามาตั้งแต่ต้น แล้วก็สรุปเอาวิธีการแก้ปัญหามารวมกับตัวสาเหตุเขาก็จะได้หัวข้อเรื่องในการทำโครงงาน
ส่วนหมวก 6 ใบ เป็นการนำทฤษฏีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของ Dr. Edward de Bono มาใช้ โดยจะเป็นการจัดระเบียบความคิดของนักเรียน โดยหมวกแต่ละใบนั้นจะทำให้นักเรียนมองในสิ่งที่ต้องการคิดหรือทำนั้นอย่างรอบด้าน และต้องค้นหาข้อมูลอย่างรอบด้านเช่นกัน ทำให้ได้ใช้ทักษะทั้งการค้นคว้า การคิดวิเคราะห์ การเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย จุดดี จุดเด่น อุปสรรค การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การทำงานเป็นกลุ่ม ที่ทำให้เกิดข้อมูลครบถ้วนทุกด้านก่อนที่จะตัดสินใจทำงาน”
ช่วงชีวิตความเป็นครู เคยท้อไหมครับ แล้วมีวิธีสร้างกำลังใจอย่างไร
“ท้อก็มีเหมือนกันนะครับ ท้อแล้วก็ต้องรีบลุกนะครับเพราะว่าถ้าท้อแล้วไม่ลุกก็ fail ตลอดเวลา ก็ถือคติว่าล้มแล้วรีบลุก แล้วบอกกับตัวเองว่าเราต้องรีบไปข้างหน้า
แล้วก็มองว่าไม่มีอะไรที่สำเร็จทุกครั้ง ไม่มีงานใดที่ว่าไม่พบกับความล้มเหลว เราเอาความล้มเหลวนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อก้าวไปข้างหน้าดีกว่า ดีกว่าไปจมกับความล้มเหลวตรงนั้นเมื่อคิดได้อย่างนี้ก็รีบลุกแล้วพิจารณาว่างสิ่งที่ทบทวนคืออะไร แล้วก็สิ่งผิดพลาดนั้นมาเป็นตัวหลัก เป็นตัวตั้งในการพัฒนาการเรียนรู้ต่อไป”
เหตุท้อใจส่วนใหญ่เรื่องใดครับ
“ก็เป็นเรื่องของงานนะครับ บางทีทำงานไม่ทัน ทำงานไม่ได้ดังใจอะไรแบบนี้นะครับ คือเกี่ยวเนื่องกับเวลาเพราะฉะนั้นบางทีเวลาน้อยเราทำไม่ทัน เมื่อรู้อย่างนี้ก็มาปรับเปลี่ยนวิธีการอะไรต่าง ๆ นะครับ”
ถ้าจะแนะนำครูภาคอื่นที่สอนวิชาโครงงานอยู่ด้วย แต่มีความแตกต่างท้องถิ่นกับครู ครูจะแนะนำอย่างไร
“ผมว่าในประเทศไทยมีบทริบทเอื้อเฟื่อต่อการเรียนรู้ ต่าง ๆ กันออกไปในแต่ละภูมิภาคเฉียงภาคเหรือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออกก็มีบทริบาทของเขานซึ่งตั้งแต่ทำโครงงานมาไปเจอเพื่อนครูที่ทำโครงงานในภาคต่างๆ นะครับ เขาก็ทำในบริบทของเขา เขาก็ประสบผลสำเร็จเหมือนกัน ในภาคอีสานก็ทำในบริบทของภาคอีสานไข่มดแดง หรือภาคกลางก็ทำเรื่องทำนานะครับ ในภาคตะวันออกก็ทำเรื่องสวนผลไม้อะไรพวกนี้นะครับ
...ก็คิดว่าถ้าทุกคนเอาบริบทพื้นฐานของตัวเองเพื่อเป็นพื้นฐานการ เรียนรู้ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ดูครูจะมีผลงานไม่ใช่แค่ท้องถิ่น แต่เนื้อหาโครงงานเป็นสากลก้าวหน้าไปสู่นานาชาติ มีอะไรหรือเทคิคอะไรถึงก้าวไปสู่นานาชาตินั้นได้
การเข้าสู่นานาชาตินี่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของงานนะครับ คือถ้าหากงานวิจัยที่เราทำตอบโจทย์ตัวเอง คือตัวเองได้ประโยชน์ตัวเองคนเดียวงานนั้นคุณภาพจะต่ำ แต่ถ้างานวิจัยนั้นสามารถที่จะแก้ปัญหาให้กับชุมชนงานวิจัยนั้นก็มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น
ถ้างานวิจัยนั้นสามารถแก้ปัญหาระดับประเทศได้ก็มีคุณภาพเพิ่มมาอีก
และแต่ถ้างานวิจัยสามารถแก้ปัญหาให้กับคนทั้งโลกได้นั้นคุณค่าก็เพิ่มขึ้นมาอีก นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องคุณภาพของงานที่เข้าสู่นานาชาติได้ งานที่เราทำขึ้นมาสามารถแก้ปัญหาในระดับภูมิภาคได้ไหมระดับโลกได้ไหม
อย่างเรื่องพลาสติกจากเกล็ดปลาที่ได้รางวัลที่ 1 ระดับโลกมานี่เพราะเขาเอามาแก้ปัญหาพลาสติกที่เป็นปัญหาของโลกไม่สามารถกำจัดได้ในเวลาอันสั้น เขาก็เลยสร้างพลาสติกชนิดใหม่ขึ้นมาที่สามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ย่อยสลายได้ในเวลาอันสั้นแล้วก็เอามาใช้งานได้จริง ๆ ซึ่งผมก็คิดว่างานชิ้นไหนที่แก้ปัญหาระดับโลกได้ก็สมควรได้รางวัลระดับโลก”
กับกลุ่มสาระวิชาอื่นที่ดูละไม่เป็นรูปธรรมเหมือนวิทยาศาสตร์ครูมีข้อแนะนำอะไรไหม
“กลุ่มสาระอื่นก็สามารถทำงานได้นะครับ เพราะในปัจจุบันนี้ผมก็มครูในที่สอนกลุ่มสาระอื่นนำเอาแนวคิดของผมไปให้อย่างกลุ่มสาระสังคมศึกษา กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระคณิตศาสตร์เอาวิธีการเหล่านี้ไปใช้นะครับก้ได้ผล”
สุดท้ายนี้อยากให้ “ครูเฉลิมพร” ฐานะครูรางวัลเจ้าฟ้ามหาจักรีคนแรกของไทยกล่าวสุนทรพจน์ โดยไม่ต้องเตรียมตัวต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติครูจะกล่าวอะไรดีครับ
“ในชีวิตครั้งหนึ่งของการเป็นครู เราก็ต้องมีความมุ่งหมายในชีวิตความเป็นครูว่าจะพัฒนาลูกหลานของเราเป็นกำลังของชาติต่อไปในอนาคต เพราะแธนั้นงานของครูจึงเป็นงานที่หนักหนา สาหัสอยู่ที่เดียวครับเพราะความหวังทั้งหลายอยู่ที่ครูถ้าครูดี ครูมีคุณภาพอนาคตของประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง ก็คือสามารถผลิตเยาวชนนั้นให้มีคุณภาพ ยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่าผ่าเผย
ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ เป็นอาชีพสร้างคนที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะว่าถ้าไม่มีครูที่เป็นสั่งสอน ลูกศิษย์ ลูกหา ให้มีความรู้ความสามารถประเทศชาติก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นของให้เพื่อนครูทุกคนจึงตระหนักถึงความสำคัญอันนี้ และทำหน้าที่ของตนเองด้วยความภาคภูมิใจว่าอาชีพของเรานั้นเป็นอาชีพที่สำคัญยิ่ง ที่จะนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดต่อไปในอนาคต...สวัสดีครับ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น