วิชญะ ครุพิทักษ์, เวทย์ มุสิสวัสดิ์ : เรื่อง
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สอศ. : ภาพ
ในอำนาจหน้าที่ของสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มี 5 ประเด็นหลัก ถ้าสรุปความจาก เจิดฤดี ชินเวโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ (สมอ.) ท่านใหม่ จะจำกัดความบทบาทหน้าที่ไว้ สั้น ๆ คือ
“บทบาทหน้าที่ของเราใกล้เคียงกันทั้ง 5 หัวข้อ คือแต่ละบทบาทหน้าที่จะพัฒนาเรื่องมาตรฐานและ
หลักสูตรที่เป็นแกนกลางของอาชีวศึกษาทุกระดับ ตรงนี้ถ้ามีการพัฒนาตัวมาตรฐาน แล้วก็เรื่องหลักสูตรแกนกลางได้เป็นหลักแล้วนี่ มันก็ส่งผลกระทบการพัฒนาในเรื่องของสื่อนวัตกรรม ตลอดจนระบบมาตรฐานการกำหนดคุณวุฒิมาตรฐานอาชีพ การเทียบโอนหรือการรับรองวุฒิ แม้กระทั่งการพัฒนารูปแบบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพราะฉะนั้นถ้าถามในส่วนประเด็นแรก เราต้องได้รับมาตรฐานการจัดหลักสูตรเกณฑ์กลางของอาชีวศึกษาในทุกระดับ ให้ชัดเจนเสียก่อนมันก็จะส่งผลถึงตัวอื่น ๆ ตามมาในหน้าที่หลักของเรา”
ภาระกิจหลักที่สำคัญสุดตอนนี้ คืออะไร
ภาระกิจหลักของเราก็คือเรื่องของการพัฒนาวิจัยพัฒนามาตรฐานและหลักสูตรแกนกลางของอาชีวศึกษา ในทุกระดับของสำนักฯ ภาระกิจนี้ต้องไปล้อกับภาระของ สอศ. ซึ่ง สอศ.นี่วิสัยทัศน์ของเราคือต้องจัดการอาชีวศึกษา อาชีพ ในการที่จะเป็นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับระดับประเทศได้ ซึ่งตรงนี้สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาก็จะต้องมุ่งมั่นในการพัฒนา สู่ความเป็นเลิศทางด้านวิชาชีพและข้อสำคัญต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ
อันนี้พี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเราจะขับเคลื่อนอย่างไรให้ไปสู่ความเป็นเลิศตรงนั้น
ในการปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาฐานะผู้คลุกคลีกับสำนักงานมาตรฐานอาชีวะฯมา โดยตลอดมีข้อสังเกตุอะไรไหม
“ในการพัฒนาหลักสูตร เริ่มมาจากมีปัญหาว่าหลักสูตรเดิมมาจากการพัฒนาซัพพลายไซต์ ไม่ได้มองดีมานต์ไซต์ เพราะฉะนั้นตอนนี้อาชีวศึกษาก็เริ่มปรับในเรื่องของการพัฒนาหลักสูตร ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคผู้ใช้ หรือภาคของผู้ประกอบการ ภาคการผลิตบริการและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งตรงนี้เราต้องเชื่อมโยงการทำงานกันกับทุกภาคส่วนที่เป็นผู้ที่ต้องการใช้กำลังคนของเราในสาขาต่าง ๆ"
ซึ่งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากสถานประกอบการ
“ใช่คะเพราะเป็นรูปแบบการร่วมมือผลิตแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอการ
ซึ่งตอนนี้อาชีวศึกษาก็ได้ทำความร่วมมือในด้านการพัฒนา การจัดระบบการศึกษา ค่อนข้างชัดเจนในรูปแบบของทวิภาคีก็ดี ในรูปแบบการพัฒนาจัดการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตรร่วมกันโดย เราจัดตั้งเป็นในรูปของ กรอ คือคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ในกลุ่มสาขาคลัสเตอร์ต่าง ๆ นอกจากคลัสเตอร์ต่าง ๆ แล้วเราก็ยังกำหนดไปตามบริบทแอร์เรีย ก็คือของแต่ละภูมิภาค แบ่งเป็นภาค ซึ่งแต่ละภาคก็มีสถานศึกษาที่อยู่ในบริบท ที่ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ ที่จะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ให้ผลิตบุคคลากรให้มีคุณลักษณะที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือภาคประกอบการ”
ด้านบุคคลากรผู้สอน คือ ครูอาจารย์จำเป็นต้องพัฒนาตรงนี้อย่างไร
“นอกจากการพัฒนาหลักสูตรแล้ว หัวใจที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการที่เราขับเคลื่อนหลักสูตรนั้นลงสู่เป้าหมายของผู้เรียนก็คือครูอาจารย์ เพราะฉะนั้น ครูอาจารย์เป็นสิ่งที่ สำคัญว่าครูผู้ใช้หลักสูตรนี่จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของหลักสูตร แล้วก็ไม่ใช่คิดว่าแบบเรียนนี่เป็นรายวิชาที่ได้รับมอบหมายให้ไปสอนเพราะฉะนั้นครูก็จะสอยแบบง่าย ๆ สอนตามตำราเรียน มันก็จะทำให้เกิดปัญหา ครูไม่ได้สอนให้เด็กเกิดทักษะจริง ๆ หรือมีศักยภาพจริง ๆ ก็จะเน้นสอนไปทางด้านวิชาการมันก็จะเกิดปัญหา
นอกจากนี้เราจะเห็นว่าครูส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในเรื่องการสอนเพราะครูส่วนใหญ่จบมาจากทางสายวิชาชีพ เมื่อไม่รู้เรื่องการสอนก็ไม่เข้าใจในเรื่องเนื้อหารายวิชาการสอนที่ถ่องแท้ ก็ไม่เข้าใจรายวิชาที่สอนและวิธีการ ที่จะนำมาสอนเด็กให้เกิดทั้งองค์ความรู้และทักษะ ก็จะส่งผลให้จัดสื่อการเรียนการสอนหรือจัดหาสื่อที่เหมาะสมออกข้อสอบไม่เป็น มันก็จะเชื่อมโยงไปหมด เพราะหลักสูตรก็เริ่มต้นตั้งแต่ มาตรฐานรายวิชา ลงไปสู่เทคนิคและวิธีการสอน และไปสู่เกณฑ์การวัดผลประเมินผล ซึ่งเหล่านี้พี่เป็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้นเราต้องไปร่วมมืออย่างที่บอกคือไปร่วมมือกับภาคเอกชนที่จะพัฒนาในเรื่องการจัดทำหลักสูตรให้ได้ฐานสมรรถนะในคุณลักษณะตรงกับความต้องการผู้ประกอบการหรือผู้ใช้ ส่วนเรื่องของครูเราต้องจัดให้มีพัฒนาครูให้มีความครูความเข้าใจ ในเรื่องหลักสูตรแล้วก็วิธีการสอน มาตรฐานรายวิชา ลงไปสู่เกณฑ์การประเมิน มันก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น”
การเข้มงวดตรวจสื่อการเรียนการสอนดูจะเป็นมาตรการเพื่อความเป็นสากล และมีคุณภาพ
“เมื่อก่อนเราไม่ควบคุมตำรา ตอนนี้เราควบคุมเฉพาะตำราเรียนหรืหนังสือเรียนเนื่องจากว่าเป็นงบประมาณที่เราสนับสนุนตามนโยบายการเรียนฟรี เพราะฉะนั้นถาม่า สมอ. ได้ดำเนินการอะไร สมอ.ก้ได้ดำเนินการจัดทำมาตรฐาน การประเมินสื่อ เรียนเรียนรู้และนวัตกรรมอาชีวศึกษา
ซึ่งทำออกมาเป็นเล่มแล้วเราก็จัดส่งให้สถานศึกษาทุกแห่ง ได้ทราบว่าเรามีเกณฑ์ประเมินอย่างไรในเรื่องของสื่อและนวัตกรรมที่เราใช้ในการจัดการเรียนการสอน
...ส่วนเรื่องหนังสือเรียน เราค่อนข้างชัดเจนโดยเฉพาะหนังสือเรียนฟรี ที่เราได้กำหนด 12 ปีที่เราได้รับงบประมาณและเราก็จัดทำให้อาชีวศึกษา
ซึ่งตรงนี้เราค่อนข้างจะชัดเจนเพราะว่าเรากำหนดเกณฑ์มาตรฐานการตั้งราคาหนังสือเรียน โดยมีคณะกรรมการทุกภาคส่วนเข้ามาคือทุกภาคส่วนนี่ ทั้งภาครัฐและเอกชน ภาครัฐมาจากไหน ภาครัฐก็มาจากภาครัฐทางมาจากทาง สอศ เอง มาจากสำนักพิมพ์ของโรงพิมพ์คุรุสภา มาจากสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกันภาคเอกชนเราก็เชิญสำนักพิมพ์ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณากำหนดมาตรฐานการตั้งราคาหนังสือเรียน หลังจากนั้ก็มีการประชุมชี้แจงกับสำนักพิมพ์ก่อนการตรวจทุกครั้ง เพราะปีหนึ่งเราตรวจ 2 ครั้ง เพราะฉะนั้นเมื่อตรวจ 2 ครั้งเราก็จะเชิญสำนักพิมพ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาประชุมชี้แจง ทำความเข้าใจในเรื่องที่เราจะชี้แจงในเกณฑ์ที่ประเมิน วางแผนเตรียมการทำแบบฟอร์มขั้นตอนในการตรวจประเมินคุณภาพหนังสือเรียนแล้วก็กำหนดระยะเวลารับส่งหนังสือเรียนที่ชัดเจน แล้วเชิญสำนักพิมพ์มาประชุมทำความเข้าใจ กำหนดปฏิทินในการดำเนินการร่วมกัน และนอกจากนี้ก็ประกาศแจ้งสำนักพิมพ์ให้สำนักพิมพ์ที่จะดำเนินการเข้าตรวจส่งหนังสือเรียนมาเพื่อจะทำการตรวจและดำเนินการตรวจประเมิน
การตรวจประเมินนี่เราตรวจประเมินหนังสือเรียนขั้นต้นกับการตรวจขั้นสุดท้าย ขั้นตอนก็ตรวจทั่วไปตามมาตราฐานที่เรากำหนด ส่วนการตรวจครั้งสุดท้ายก็คือการตรวจในแง่เนื้อหาสาระ ว่าได้ตรงตามนั้นไหม แล้วหลังจากนั้นก็ประกาศคุณภาพหนังสือเรียนทางเว็บไซต์ของ สอศ. เพื่อทำประชาพิจารณ์ใครมีข้อขัดแย้งอะไรก็สามารถแย้งมาแล้วเราก็ชี้แจงไป
หลังจากนั้นเราก็ประชุมชี้แจงกับสถานศึกษา ซึ่งในปี 2559 พี่จะจัดซื้อเป็นภูมิภาค หลังจากนั้นจะมีการติดตามการจัดซื้อหนังสือเรียนถูกต้องตามระเบียบไหม เป็นไปตามที่เรากำหนดหรือไม่อย่างไร มันก็ลดปัญหาหนังสือเรียนไม่ได้คุณภาพไปได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีเกณฑ์อยู่
หนังสืออะไรก็ได้ที่เราได้ขึ้นเว็ปไซต์ว่าเราได้ตรวจประเมินแล้ว มีสิทธิขายได้ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน แล้วจะส่งผลไปถึงผู้เขียน ซึ่งสำนักมาตรฐานชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันจะต้องได้ทั้งมาตรฐานและคุณภาพ โดยเฉพาะเอ้าท์พุท เอ้าว์คัมที่เปิดขึ้น ก็คือคุณภาพของผู้เรียนให้ตรงคุณลักษณะของผู้ใช้แล้วก็ให้ได้คุณภาพที่เราจะสามารถตามความต้องการ
พอเราประมาณเสร็จแล้วเราก็ประเมินทุกปี มีการตรวจประเมินทุกปีคือถ้ามีการร้องเรียนมาว่าหนังสือไม่ได้คุณภาพนี่
เราก็ต้องมีปัญหาแล้ว เพราะบางทีไม่เหมาะสมกับราคา อย่างเช่นเรากำหนดว่ามาตรฐานควรจะต้องมีกี่ปอนด์ รูปภาพจะต้องมีอะไรแบบนี้นะค่ะ ซึ่งจะมีมาตรฐานซื้อที่เรากำหนดอยู่”
บทบาทของ สมอ. ที่จะผลักดันให้อาชีวศึกษาไทยก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
“เรื่องอาเซียนนี้เราดำเนินการเตรียมการมาพอสมควรเพราะการที่เราก้าวเข้าสู่ AEC ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราจะยึดโยงและเชื่อมโยงกับการทำงานที่มีการควบคุมมาตรฐานอาชีพ เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการขับเคลื่อนพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ตามมาตราฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งเรื่องนี้เราถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและในขณะเดียวกันเราก็ต้องผลิตผู้เรียนให้ได้คุณลักษณะตามที่ได้กำหนดไว้ NQF ที่ดำเนินการโดยสภาการศึกษา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ และนอกจากนี้แล้วถามที่เราว่าได้ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพที่คุยเมื่อกี่นี้ เราได้ดำเนินการไปแล้วใน 13 หลักสูตร ก็คือ 13 อาชีพ แล้วปรับหลักสูตรทั้ง ปวช ปวส ให้ได้มาตรฐานมีสมรรถนะวิชาครบถ้วน ครบคลุ้มคุณวุฒิวิชาชีพแต่ละวิชาชีพทั้งนี้จะต้องเป็นที่ยอมรับในระดับสากลด้วย”
ฐานะที่เติบโตมากับ สมอ. ขณะนี้มาเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักแล้วมีอะไร กล่าวถึงนโยบายที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญได้ตระหนักไหม
“ฐานะตัวเองเป็นลูกหม้ออาชีวศึกษามานาน แต่ไม่มีอำนาจหรือ Authority ตรงนี้ แต่ว่าขณะนี้ในฐานะที่เราทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนัก พี่ก็ต้องมองว่าเราเองก็ต้องปรับบทบาทเราในเรื่องของการพัฒนาหลักสูตร ข้อสำคัญต้องพัฒนาน้อง ๆ ในสำนักฯ ในกลุ่มให้เข้าใจเป็นแนวเดียวกันเสียก่อน แล้วทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรอบหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเรื่องของวิธีการเรียนรู้อันไหนที่จะเหมาะสมมาใช้กับอาชีวศึกษา
น้อง ๆ ในสำนักฯ ทุกคนช่วยกันพี่คิดว่าพี่คนเดียวขับเคลื่อนไม่ได้ ต้องน้อง ๆ ทุกคนช่วยกัน
ช่วยกันให้งานของสำนักฯจะได้เดินหน้าไปได้ แล้วในขณะเดียวกันพี่ก็ต้องใช้อาศัย ทางครูและผู้บริหารบางท่านเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเดินไป
เพราะบางทีในการจัดทำหลักสูตรนี่คนที่สาม ต้องเอาครูผู้สอนมาช่วยเราด้วยในการจัดทำหลักสูตร เพราะว่าในส่วนกลางหรือตัวพี่เองนี่ไม่ได้รอบรู้ไปทุกเรื่องในแต่ละสาขา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะมาช่วยเราในการขับเคลื่อนทั้งองคาพยพ นอกจากนั้นพี่ยังวาดฝันไปอีก ว่าเราจะทำอย่างอย่างไรที่จะได้มาตรฐานสากล เราก็ต้องไปจับมือกับสถาลันการอาชีวศึกษาที่อยู่ในระดับนานาชาติ ที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับผู้แล้ว อย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น หรือ เกาหลี
...เพราะฉะนั้นเราก็จะจับมือระหว่างวิทยาลัยเรากับญี่ปุ่นที่จะพัฒนาให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ แล้วเผลอ ๆ พี่ก็จะพยายามทำให้เป็นซิสเตอร์คอลเล็จ ในอนาคตพี่คาดหวังว่าเด็กของเราจะได้ปริญญาทั้ง 2 ใบในอนาคตที่คาดหวังไว้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น