โดย
นช.๐๐๗
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่องดี ๆ ที่มีขึ้นกับอาชีวศึกษาไทย
หลังจากร่วมวงดื่มกาแฟสดจากเด่นชัย เครื่องดื่มถ้วยโปรดของท่านเลขาฯ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ แล้ว ห้องรับรองชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ก็เริ่มมีเสียงสนทนาขึ้น
ท่านเลขาหลังจากบริหาร สอศ.มาต่อเนื่องหลายปีแล้ว ขณะนี้ นโยบายเริ่มต้นการรับนักเรียนไปตามเป้าประสงค์ใหม“...ก็เหมือนเป็นหน้าที่หลักของ สอศ. ที่รับเด็กให้มากที่สุด และทำอย่างไรเด็กจบไปมีคุณภาพมากที่สุด เราดูจากปีที่แล้วที่ผ่านมา เด็ก ปวช.เราคิดว่าเพิ่มมาสัก 9 % แต่ผลปรากฎว่าไม่เพิ่ม ได้เท่าเดิม เด็ก ปวส.เขาก็บอกว่ารักษายอดเท่าเดิมแล้วกัน ผลปรากฏว่าเพิ่มขึ้น 3 % ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกัน ว่าทำไม ปวช.ไม่เพิ่ม แต่ ปวส.เพิ่ม
...พอเอาข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ.2549 มาจนถึง ปีล่าสุด ลดลงทุกปีจากเดิมเด็กจบ ม.3 แล้วไปเรียน ปวช. ปี 49 เรียน 41 % ลดมาทุกปีจนถึงปีที่แล้ว ปีก่อน 36% และปีที่แล้วเรายันไว้ได้ 36% เท่าเดิม แล้วปีนี้เราคิดว่าน่าจะเพิ่ม เพราะฉะนั้นเราก็ตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี ตั้งเป้าเพิ่มได้ 9 %
ส่วน ปวส.ก็ทำท่าว่าจะลดลงมานิด ๆ แล้วก็ขยับขึ้นมา 3% ซึ่งตรงนี้ก็เป็นตัวสะท้อนว่า คน เห็นความสำคัญของการเรียนอาชีพมากขึ้น แล้วก็หลายคนอาจจะหวังว่าช่วงแรก เด็กอยากเรียนสายสามัญก็โอเค ไปเรียนก่อน พอจบ ม.6 ก็หมุนมาสายอาชีพ ตรงนี้ก็เป็นภาพที่ดีเหมือนกัน”
เรียน ม.6 ปัจจุบันก็โยงมา ปวส. ได้
“มาได้ครับ...แล้วที่จริงถ้ามองดูจากตัวเลขที่เรามีอยู่ พบว่าเด็กที่เรียน ปวช.อย่างตอนนี้เด็ก ปวช.มาเรียนกับเรานี่ 36% แล้วพอมาเรียนแล้วนี่พอจบ ปวช. 3 ปี ตามหลักอยากให้เขาเข้าสู่ตลาดแรง งาน ปรากฎเข้าตลาดแรงงานแค่ 10% อีก 90% ขึ้นบนไป ปวส. แล้วจบ ปวส.ตามหลักก็คือ เขาควรเป็น เทคนิคเชี่ยนแล้วเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้วปรากฎเข้าไปเพียงแค่ 50% อีก 50% เรียนต่อ
นั่นคือค่านิยมของเมืองไทยยังไม่เปลี่ยนมันยัง อยากได้ปริญญาอยู่ ก็เปิดปรากฎการณ์ที่เห็นเข้า ปวช .จบมาก็ทำงานนิดเดียว จบ ปวส.มาก็ออกทำงานได้แค่ครึ่งเดียว แล้วอีกครึ่งไปเรียนปริญญา แล้วที่สำคัญคือ ปวส.ที่เข้าตลาสดแรงงานครึ่งหนึ่งนี่ เข้าไปทำงานแล้วก็ยังเรียนต่อภาคนอกเวลาอีกน่นคืออยากได้ปริญญา
แต่ที่แย่กว่านั้นคือที่เรียนปริญญา 50%นี่ เขาไปเรียนสาขาอาชีพที่ไม่ตรงกับอาชีพที่เขาเรียนมาก่อน ไปเรียนสายสังคมศาสตร์หรือสาขาอื่นสักอย่างที่ไม่ใช่สายอาชีวะศึกษา เยอะมากแล้วเป็นตัวเลขที่น่าตกใจก็คือว่ากลุ่มเหล่านี้นี่พอกลับเข้าทำงานเขากลับเอาวุฒิ ปวส.มาสมัครเข้าทำงานเป็นใช้เวลาที่งานที่เรียกว่าต่ำระดับ คือวุฒิสูงแต่ว่าใช้ ปวส. ตรงนี้คือ สภาพที่เกิดขึ้นของเมืองไทย”
การเปิดสถาบันการอาชีวศึกษาเปิดปริญญาตรีรองรับความต้องการนี้ได้แค่ไหน
“การเปิดปริญญาตรีของเราเป็นการเปิดปริญญาตรีสายปฏิบัติการ คือสภาพที่เราต้องทำคือมาสภาพ ในตลาดแรงงานว่าต้องการคนมีความสามารถสูงกว่าระดับ ปวส. แล้วก็ไม่อยากได้คนในระดับปริญญาทั่วไปเป้าหมายเราผลิตไม่เยอะตั้งเป้าปี 3000 คนก็เต็มที่แล้วจะไม่ผลิตมากกว่านั้น เราตั้งใจว่าจะทำอาชีวศึกษาแบบทวิภาคี นั่นก็คือเด็กที่มาเรียนต้องจบ ปวส.มาก่อน แล้วตอนมาเรียนกับเรา 2 ปี ครึ่งหนึ่ง 1 ปี ต้องอยู่ในสถานที่ประกอบการ แล้วจบไปทุกคนทำงานหมดทุกคน คือเน้นเก่งปฏิบัติมาก ๆ แล้วก็ไม่เน้นจะให้คนเรียนเยอะแยะมากมาย ก็เป็นทิศทางที่อาชีวะต้องการทำตรงนี้
...เพราะฉะนั้นที่ถามว่าเปิดปริญญาตรีตอบโจทย์ตรงนี้ไหมก็ไม่เชิงตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็
เหมือนมีช่องทางหนึ่งที่ว่า จบ ปวส.ก็ต่อปริญญาตรีได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะเพียงพอกับความต้องการของคนเรียน”
ประเด็นของ V - net กับ สทศ. ละครับทาง สอศ.ตลึกกันว่าอย่างไร
“กรณีตัว V-NET คือตัวหนึ่งที่เราพูดคุยกันเยอะ แล้วเราก็พูดชัดเจนว่า เรายอมรับผลการประเมิน V-NET ระดับหนึ่ง ยอมรับระดับหนึ่งนะครับแล้วตอนนี้คุยกับ สทศ.ชัดเจนแล้ว และ สทศ. ก็ยอมรับแล้ว เนื่องจากเวลาเราวัดเด็กนี่เราต้องดูความรู้พื้นฐาน เราต้องดูทักษะอาชีพ ดูลักษณะทางค่านิยมทางจิต ทั้งหลาย แล้ว สทศ.ที่สอบมาวัดได้เฉพาะความรู้เท่านั้น เพราะ V-NET วัดการสอบโดยใช้ ก ข ค ง เท่านั้น
เพราะฉะนั้น V-NET วัดเด็กได้เฉพาะส่วนเดียว แล้วก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แค่ 20 % ส่วนอีก 80 % V-NET วัดไม่ได้ก็คุยกันอยู่ และปรึกษาว่าถ้า V-NET วัดได้ทั้งทักษะการทำงาน คุณลักษณะนิสัย เราก็ยินดีจะเอา V-NET มาใช้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ V-NET วัดได้เฉพาะความรู้ แล้วก็ความรู้เฉพาะพื้นฐานเท่านั้น ก็ยอมรับแค่นั้น ก็ยอมรับแค่ระดับหนึ่ง“
สทศ. ยินดีปรับ
“ตอนนี้ก็ขีดจำกัดแค่พื้นฐาน เพียงแค่ 20 % ส่วน 80 % อยู่ที่อาชีวะเราเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะอธิบายว่า เด็กอาชีพ เก่งแค่ไหนความรู้ความสามารถแค่ไหน ต้องดูหลายส่วนไม่ใช่ดูแค่ V-NET"
ความตั้งใจที่บริหารมาถึงเวลานี้ผลงานรูปธรรมท่านคิดว่าเป็นเรื่องใด
"ตอนนี้ที่คิดว่าเป็นรูปเป็นร่างแล้วคืออาชีวะภาคภาษาอังกฤษ ออกมาแล้ว จากเดิมที่อาชีวะเราก็สอนของเรากันไป มาเจอโจทย์ว่าเรากำลังเข้าสู่อาเซียน เราต้องมีเด็กอาชีวะส่วนหนึ่งที่เก่งมาก ๆ ที่จะเข้าสู่อาเซียนได้ก็เปิดภาษาอังกฤษ แล้ว MINI ENGLISH ด้วย ตอนนี้สามารถเปิดได้ 141 วิทยาลัย ครบทุกจังหวัดแล้วทั่วประเทศ แล้วในปี 58 อาชีวะทุกแห่งต้องมีภาคภาษาอังกฤษ เพื่อตอบสนองนโยบายนายก
หรืออย่างที่ 2 ที่คิดว่าทำแล้วได้ผลมาก ๆ คือการพัฒนาวิทยาลัยขนาดเล็ก อาชีวะนี่มีตั้งแต่เด็ก 100 กว่าคน ถึง 6,000 คน ซึ่งมีความแตกต่างกันมากทั้งคุณภาพทั้งเรื่องการบริหารจัดการโดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ วิทยาลัยใหญ่ ๆ ปีหนึ่งมีเกือบร้อยล้านบาท เล็ก ๆ ปีไม่กี่แสน ก็เลยมีพัฒนาการวิธีการยกระดับ คุณภาพวิทยาลัยขนาดเล็ก โดยจัดสรรงบประมาณให้เป็นธรรม ช่วยให้เขาพัฒนาจากบัวใต้น้ำเป็นบัวปริ่มน้ำ แล้วก็มาพัฒนาครูแล้วก็พัฒนาคุณภาพ
...ได้ทำมา 3 ปี ก็คิดว่าวิทยาลัยขนาดเล็กของอาชีวะได้ปรับตัวมากขึ้นแล้วก็ทำให้คุณภาพเป็นที่ยอมรับของชุมชนมากขึ้นกับอีกเรื่องที่หนึ่งที่เป็นเป็นรูปธรรมคือ เรื่องเด็กออกกลางคัน เด็กอาชีวะนี่ออกกลางคันเยอะมากมาเรียนมาเรียนปี 1 เทอม 1 เทมอ 2 นี่ออก หลายสิลเปอร์เซ็นต์มาก พอมาทำโครงการร่วมกับวิทยาลัย 2 ปีนี่ลดลงไปได้เยอะ แค่เอามาเรียนก็ยังยากแล้ว แล้วยังออกอีกตรงนี้ก็ช่วยได้เยอะ เด็กออกกาลางคันส่วนใหญ่ ใจก็ไม่อยากเรียนอาชีวศึกษาอยู่แล้วเพียงแต่ว่า บางคนเรียนสายสามัญไม่ไหนไม่ได้ก็มาอาชีวะ
แต่บางส่วนก็เจอปัญหาเรื่องเศรษฐกิจค่าใช้จ่ายอะไรประมาณนี้ ซึ่งตรงนี้ก็แก้ไปได้พบสมควรอย่างล่าสุด ช่วยรัฐบาลปัจจุบัน พลเรือเอกณรงค์ นี่ ก็เห็นด้วยกับปัญหาใหญ่ของอาชีวะ ผมก็เรียนว่าปัญหาอาชีวะ เด็กส่วนหนึ่งที่ออกกลางคันเขาก็ไม่มีอุปกรณ์การเรียน เพราะเด็กอาชีวะศึกษาถ้าเรียนให้ได้ผลต้องมีเครื่องไม่เครื่องมือ แล้วก็วิทยาลัยก็ไม่ได้รีบเงิน เพราะฉะนั้นเขาก็เก็บเงินจาก เด็กจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ก็เสนอท่านว่าน่าจะมีอุปกรณ์ประจำตัวเด็ก รัฐมนตรีก็เห็นด้วยเพิ่งลงนามในครม.เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง อุปกรณ์ประจำตัวเด็กซึ่งจากแยกตามสาขา ถ้าสาขาอุตสาหกรรมหัวละ 2,000 บาท ศิลปกรรม คหกรรม ก็แตกต่างกันไหน ปี
แต่ก่อนไม่มีเลย คิดว่า ครม.จะช่วยตรงนี้เพราะปีหนึ่งประมาณ 400 ล้าน ก็เราดูหมดเลยทั้งรัฐ เอกชน ทั้งท้องถิ่น ดูหมดเลยให้ทั่วถึงเป็นธรรม จะอาจทำให้เด็กมาเรียนอาชีวะมากขึ้น เรียนอย่างมีคุุณภาพเช่น อย่างแต่ก่อนจะทดลองทำอะไรอย่างมีมิติมิเตอร์ที่จะวัดนี่ ถ้าเด็กเรียนห้อง 30 คน มีเครื่องมือ 3 ตัว ก้เข้าคิวกันอยู่ แต่ถ้าทุกคนมีได้ลองได้ฝึกก็จะมีขึ้น
...ตรงนี้ก็คิดว่าน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง"
ถ้าจะสรุปภาพรวมอาชีวศึกษาตอนนี้ท่านเลขาฯ มองว่าสังคมโดยรวมหวังอะไรได้บ้าง
"ตอนนี้เราใช้คำว่าอาชีวะสร้างชาติเป็นตัวนำ คำว่าอาชีวะสร้างชาติเป็นสิ่งที่พูดในกระทรวง พูดในวงกาของพวกเรา แต่ถ้าดูในวงการของโลกนี่ก็พูดถึงเรื่องนี้เยอะ
ผมดูข้อมูลของ UNDP อย่างแรกเขาพูดชัดเลยว่าประเทศจะมีความเจริญทางเศรษฐกิจสังคมได้นี่มันต้องมาจากประเทศนั้นมีประสิทธิถภาพสูง ผลผลิตออกมามีประสิทธิภาพสูง อย่างที่สองคือมีการบริการต้องมีคุณภาพสูง การที่ประเทศที่มีคุณภาพต้องมีประสิทธิและคุณภาพที่สูง
...และการที่มีจะมีประสิทธิภาพและบริการที่คุณภาพสูงได้นั้นจะต้อง ได้มากจากคนทำงานที่มีคุณภาพ คนทำงานที่มีคุณภาพจะต้องมาจากอาชีวะที่มีคุณภาพเพราะฉะนั้นอาชีวะที่มีคุณภาพก็คืออาชีวะที่สร้างชาติได้ นั้นคือทิศทางที่เรากำลังทำและจะสร้างให้สังคมเห็น..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น