โดย : นช ๐๐๗ / ฝ่ายประชาสัมพันธ์สภาการศึกษา : ภาพ
จากวันนั้นถึงวันนี้บรรยากาศการทำงาน ณ สภาการศึกษา ริมถนนสุโขทัยคักคึกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้เลขาธิการคนใหม่เป็นผู้บริหารนักวิชาการ
ดร.กมล รอดคล้าย เลขาฯ ทำงานได้ระยะหนึ่งแล้ว เวลานี้จึงเหมาะสมที่จะเปิดใจกับงานท้าทายใหม่ในฐานะนักบริหาร
ก่อนมานั่งในตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา ท่านมองหน่วยงานนี้เป็นอย่างไร และเมื่อมาสัมผัสแล้วมองต่างไปไหมอย่างไร
“ก่อนที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา ผมก็มองสภาการศึกษาในมติเชิงบวก เพราะว่าผมมีความเชื่อว่าทุกหน่วยงานนี่ องค์กรในการทำหน้าวางแผนกำหนดนโยบายนี่ หรือทิศทางการศึกษาของประเทศนี่ หรือทิศทางการทำงานของกระทรวงฯ นี่ สภาการศึกษามีบทบาทสำคัญมากที่สุด เพราะฉะนั้นสภาการศึกษาที่มองในมติของงานนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ในมิติเรื่องของบุคคล คนนี่ที่สภาการศึกษาถือเป็นบุคคลที่ความรู้สูงสุด ถ้าเทียบกับองค์กรต่าง ๆ ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยที่มีดอกเตอร์มีศาสตราจารย์มีรองศตราจารย์เยอะ แต่ว่าที่สภาการศึกษามีคนที่จบปริญญาเอกและจบการศึกษาขั้นสูงนี่ โดยสัดส่วนมีมากกว่าที่อื่น
ในขณะเดียวกันผมมองในมิติว่าในเชิงการบริหารจัดการหน่วยงานที่มีลักษณะไม่ใหญ่เกินไปหรือไม่เล็กเกินไปจะมีความคล่องตัวสูงในการทำงาน
เพราะฉะนั้นเมื่อมาทำงานที่นี่ก็มีความสุข แล้วก็มีความมั่นใจว่าถ้าผมได้มาทำงานโดยเอาประสบการณ์เดิม ๆ ที่เคยทำที่สำนักงาน สำนักปลัดกระทรวง เคยเป็นรองปลัดกระทรวงเคยเป็นรองเลขาธิการอาชีวศึกษา เคยเป็นรองเลขาธิการ และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็น่าจะนำเอาประสบการณ์ความรู้ความสามารถ ที่เราผ่านมา มาใช้ในการทำงานที่นี่
เพราะนั้นวันนี้ที่ตั้งใจมาก ๆ ก็อยากทำให้หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่ชี้นำทางการศึกษาได้ ใช้นำในเรื่องนโยบาย เรื่องทิศทาง เป็นหน่วยงานที่มีองค์ความรู้แน่น สามารถซีพพเอร์ทิศทางการทำงาน และสุดท้ายก็คงใช้ศักยภาพของคนที่ซึ่งเก่งอยู่แล้วเชื่อมโยงกับคนจากเครือข่ายอื่น ๆ ในองค์กรหลักในพื้นที่ซึ่งผมมีประสบการณ์ในการทำร่วมกันมา ก็เชื่อว่าแนวโน้มการทำงานของทั้งสภาการศึกษาเอง แล้วก็ของกระทรวงศึกษาธิการน่าจะดีขึ้นนะครับ
อันนี้เป็นความมุ่งหวัง...”
ท่านเลขาฯมานั่งได้ระยะหนึ่งแล้วนโยบาย ทิศทางการบริหารสภาการศึกษามองเรื่องอะไรพิเศษบ้าง
“เราทำ 4 - 5 เรื่องด้วยกันครับ เรื่องแรกโดยบทบาทหน้าที่ของสภาการศึกษา
ต้องกำหนดแผนการศึกษาของชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อจะกำหนดแผนการศึกษาของชาติ
ชาติเราก็ต้องทำหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง กำหนดคุณลักษณ์ของเด็กไทย
เพราะว่าเด็กเป็นเป้าหมายสูงสุดในการศึกษา เราจะต้องกำหนดอนาคตเด็ก เด็กไทยในอนาคตต้องมีสมรรถนะ มีมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเป็นคนไทยที่ดีเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนในสังคมอาเซียนและเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมโลกด้วย
เพราะฉะนั้นเมื่อเรากำหนดมาตรฐานการศึกษาเราต้องกำหนดดูด้วยว่า คุณสมบัติของเด็กไทยที่พึงประสงค์เป็นอย่างไร กำหนดสิ่งเหล่านี้ได้แล้วก็กำหนดเป็นนโยบายของไทย หรือเป็นทิศทางในการกำหนดการศึกษาซึ่งแน่นอนก็ต้องเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการพัฒนาครู เรื่องของการพัฒนาสถานศึกษา เรื่องใช้สื่อเทคโนโลยีที่เหมาะสม
นอกจากเรื่องของการทำแผนพัฒนาการศึกษายังกำหนดอยู่ในแผนของสภาการศึกษาว่าจะมีหน้าที่ในการออกแบบ มาตรฐานการวิจัย การศึกษาค้นคว้า
สรุปง่าย ๆ ก็คือหน่วยงานนี้ต้องหาความรู้ใหม่ ๆ จากงานวิจัยก็ได้ จากการศึกษาก็ได้ หรือจากการออกแบบการนำร่องต่าง ๆ ก็ได้ การนำร่องกระบวนการจัดการเรียนรู้ การนำร่องกระบวนจัดการศึกษาที่เหมาะสม การนำร่องเรื่องงบประมาณที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้การที่เราจะได้มาก็ต้องมีข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องชัดเจน เราจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การรูปของการประชุมเสวนาทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
...และเนื่องจากที่นี่มีส่วนในการออกกฎหมายนะครับ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรากำลังเตรียมการทำพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ เราจะต้องกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติการศึกษา ตรงนี้เราจำเป็นต้องมีผู้รู้ด้านกฎหมายเข้ามาช่วย
ผมมีความเชื่อว่าถ้าเราออกกฎระเบียบ กฎหมายถือเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ดีนี่ ก็จะนำไปสู่การที่องค์กรต่าง ๆ นำสิ่งเหล่านี้ไปใช้
ส่วนที่สำคัญที่สุดเรื่องสุดท้ายผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาเครือข่ายนะครับ กราบเรียนว่าในการจัดการศึกษา ผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาไม่ใช่มีแค่เฉพาะคนในกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นในอนาคตอย่างน้อยมี 9 กระทรวงจะมีบทบาทในด้านการศึกษานะครับ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข เทคโนโลยี กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา กระทรวงแรงงาน ซึ่งกระทรวงเหล่านี้ใช้คนจากกระทรวงศึกษาธิการ ก็จะต้องมีการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกัน แล้วเรายังมีเครือข่ายนักวิชาการจากทุกมหาวิทยาลัย มีเครือข่ายผู้รู้อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ การสร้างเครือข่ายที่ดีจะให้ให้มีสรรพกำลังเข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามองเห็นว่าถ้า เราใช้จังหวัดเป็นหน่วยในการพัฒนางาน ก็จะต้องส่งเสริมให้มีสมัชชาการศึกษาจังหวัด หรือมีสภาการศึกษาจังหวัดเกิดขึ้น
ทั้งหมดกระบวนการที่กิดขึ้นมีความมั่นใจนะครับว่า ถ้าเราวางทิศทางที่ชัดเจนและวางยุทธศาสตร์ของประเทศ ว่ารัฐบาลกำหนดให้ขับเคลื่อนไปทางไหน แล้วสภาการศึกษาสนับสนุนและให้สภาการศึกษาเป็นหน่วยงานทางวิชาการ เป็นหน่วยงานชี้นำในเชิงนโยบายก็น่าจะให้ทิศทางการศึกษาไปไปในทางที่ดี ตรงนี้ก็จะส่งผลถึงความก้าวหน้าของบ้านเมืองในอนาคต”
กับคำกล่าวว่าสภาการศึกษาเป็นยักษ์ไม่มีกระบอง ท่านเลขาฯจะสร้างกระบองขึ้มาได้ไหมในยุคนี้
“ในอดีตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่มีคนน้อยมีประมาณ 190 คน มีงบประมาณ 200 กว่าล้านซึ่งเมื่อเปรียบกับถ้าเทีบกับหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดคือ สพฐ. มีประมาณ 3.1 แสนล้านตอนนี้นะครับ
แต่ปัญหาขอเรียนอย่างนี้ครับว่า เมื่อเราวางแผนการศึกษาสมมุติเราวางแผนการศึกษาชาติ 15ปี หรือวางแผน 5 ปี หรือแม้นแต่เราออกแนวปฏิบัติอะไรออกมานี่ส่วนใหญ่เราจะเขียนโดยผู้รู้นักวิชาการซึ่ง สิ่งที่กำหนดมาดีหมดไม่มีส่วนไหนเสียหายเลย จุดอ่อนคืดเราไม่ได้มองสภาพจริงว่าหน่วยงานนี่เขาเห็นชอบไหม เราอยากได้แนปฏิบัติอย่างนี้ไปใช้หรือไม่ เราไม่ได้มองถึงบุคคลกรที่เข้ามาทำงาน เราไม่ได้มองงบประมาณที่เสริมเข้ามา
เพราะฉะนั้นคำว่ายักษ์ไม่มีกระบอกก็คือว่า กำหนดได้พูดได้ แต่คนอื่นไม่เอาไปทำ
ซึ่งวันนี้เวลานี้ผมได้เตรียมการแก้ปัญหานี้นะครับ วิธีการงานง่าย ๆ คือ เรื่องแรกที่ได้กราบเรียนไปเบื้องต้นแล้วคือต้องมีเครือข่ายทำงานด้วยกันคือ หมายถึงถ้าเราต้องการทำแผนการศึกษาชาติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ต้องให้การศึกษาขั้นพื้นฐานเข้ามาเขียนแผนด้วย
เกี่ยวข้องกับอาชีวะ เกี่ยวข้องกับอุดมศึกษา เกี่ยวข้องกับ กศน. คนเหล่านี้ต้องมาช่วยเขียนแผนด้วยช่วย เสนอในรูปธรรม และเป็นสิ่งที่เขาทำได้จริง เมื่อเขามีส่วนใหนการขึ้นแผน เขาก็กำหนดให้เอาไปใช้ เพราะเขาได้กำหนดให้เขียนแผนเอง หรืออาจเอาแผนของเขาเองมาเสริมกัน
…เราต้องไปถามพื้นที่ทั่วประเทศเพราะว่าพื้นที่ทั่วประเทศจะมีบริบาทที่แตกต่ากัน การไปทำประชาพิจารณ์ในพื้นที่กลุ่มต่างจังหวัด ซึ่งประเทศไทยมี 19 กลุ่มจังหวัด ทีนี้ถ้าหากเอาระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีมาจับ เรามีภาคเหนือตอนบน บนล่าง ภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง เรามีกลุ่มอันดามันอะไรพวกนี้ กลุ่มจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วมจัดทำแผนการศึกษา จัดทำเสร็จเขาเห็นชอบเขาก็ไปจัดทำโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครทำใหม่หรอกเพราะเป็นแผนที่เขาเห็นชอบร่วมกันแล้ว อันนี้มองในเชิงเนื้องาน แต่ในส่วนของงบประมาณซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในอดีตสภาการศึกษาเขียนแผนการศึกษาแห่งชาติโดยไม่ยึดโดยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ในขณะที่สำนักงบประมาณเวลาจัดงบประมาณเขาจะดูสภาพัฒน์เห็นหลักว่าทิศทางประเทศจะเป็นอย่างไร จะเป็นประเทศอุตสาหกรรม
จะเป็นประเทศที่ส่งเสริมเเรื่องเกษตรกรรม การท่องเที่ยว การกีฬาอะไรพวกนี้นะครับเราจะต้อง ดูความเชื่อมโยงของสภาพัฒน์และก็ต้องเสนอแผนให้รัฐมนตรีได้อนุมัติ เสนอไปที่สภาพัฒน์ให้รับทราบ ให้สำนักงาบได้มีส่วนร่วมคิดร่วมทำตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นเวลาเราทำเสร็จเวลาจัดงบประมาณเสร็จเราเสนอไปที่สภาพัฒน์ให้รับทราบ ให้สำนักงบได้มีส่วนร่วมคิดร่วมทำตั้งแต่ต้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำเสร็จก็จะให้เวลาจัดงบประมาณประจำปีสำนักงบก็จะจัดให้พวกเราที่วางแผนไว้นะครับ
ตรงนี้เมื่อเรามีตัวงานพร้อมมีคนที่เป็นหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมที่จะทำมีงบประมาณพร้อมเราก็พร้อมที่จะเป็นยักศ์ที่มีกระบอง โดยชัดเจนนะครับ ส่วนเรื่องการติดตามประเมินผลให้รัฐมนตรีกำกับดูแลอันนั้น ก็จะต้องให้มีการผลักดันต่อไป”
ก่อนหน้านี้สภาการศึกษาย้อนไป 10 กว่า ดร.รุ่ง บริหารดูจะมีบทบาทชี้นำอะไร ๆอย่างเช่น รวบรวมควานเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านให้เอป็นองค์ความรู้มา ท่านเลขาฯอยากย้อนไปสู่ความรุ่งเรื่องตรงนั้นไหม
“ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ต้องพื้นฟูและนำกลับมาอีกนะครับ...จริง ๆ เวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีมีอะไรที่เป็นเรื่องเสียหาย เพียงแต่ว่าเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านระบบนะครับ
ช่วงของ ดร.รุ่ง (แก้วแดง) ถือว่าเป็นช่วงรุ่งโรจน์มาก เพราะว่าช่วงนั้นเรามีการเตรียมการปฏิรูปการศึกษามีการทำวิจัย 40 กว่าเรื่อง แล้วการวิจัยนั้นนำมาสู่การกำหนด พระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่
ถ้าเราย้อนไปอีกก่อน ดร.รุ่ง ก็มียุครุ่งเรืองอย่างน้อย 2 ยุค
ยุคแรกก็คือยุคที่มีการตั้งสภาการศึกษาใหม่ ๆ สมัยที่อุดมศึกษาไม่มีสภาการศึกษาก็ดูแลเรื่องของมหาวิทยาลัย ผ่านก็เป็นช่วงที่เราทำสภาการศึกษาเป็นคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติขึ้นมาที่จะดูแลการศึกษาของประเทศในช่วงพัฒนายุคท่านจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถอม ยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา
พอถึงช่วง ดร.รุ่งเมื่อได้มีการทำ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้มีการวางยุทธิ์ศาสตร์ไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาเครือข่ายเข้ามาทำงาน ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกิดขึ้นในยุคนี้ เครือข่ายนักวิจัย เครือข่ายคลังสมองให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
…แต่ในช่วง 10 ที่ผ่านมาดูเหมือนจะซบเซาหรือแผ่วลงประเด็นเกิดจากเราโยกอำนาจการจัดการศึกษาหรือโยงทิศทางการกำหนดนโยบายไปดูที่กระทรวงศึกษาธิการเต็มตัว ซึ่งช่วงนั้น 5 องค์กรหลักเกิดขึ้นส่งผลให้องค์กรมีแผนของตัวเองมีการกำหนดเป้าหมายกำหนดยุทธศาสตร์ของตัวเอง สภาการศึกษาดูเหมือนบทบาทจะลดน้อยลง แต่ว่าในช่วงนี้ถ้าเราย้อนกลับไปเราจะพบว่าแม้นจะมีความก้าวหน้าในการทำงานขององค์กรหลักต่าง ๆ แต่การบูรณาการไม่เกิดขึ้นการยึดโยงวิธีการทำงานหรือเป้าหมายที่ออกมานี่ไม่ได้ตามที่เราหวัง...
คือพื้นฐานก็ทำดี พอส่งต่อให้อาชีวศึกษา อาชีวะก็ทำดี ส่งให้อุดมศึกษาก็ทำดีแต่แต่วันมันไม่ตอบปัญหาองค์รวม ก็ดีเป็นส่วน ๆ ไป
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ถ้าเราจะเอายุทธาสตร์เหมือนกับที่ทางสมัย ดร.รุ่งทำไว้นี่ มาใช้น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ผมอยากเรียนว่า เราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าเราต้องการเด็กที่มีคุณลักษณะอย่างไร
อันนั้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดหลังจากนั้น เมื่อเรารู้เป้าหมายคุณลักษณะของเด็โจะเป็นอย่างไรนี่ หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องปรับตัวเอง พัฒนาครูตัวเอง พัฒนาสถานศึกษา พัฒนาการเรียนการสอนเพื่อให้ตอบโจทย์อันนั้น แต่ที่สำคัญที่สุดนะครับ ก็คือเมื่อการศึกษาไม่ใช่หน้าที่กระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียวสังคมชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้รู้ต่าง ๆ จะต้องมีส่วนร่วมในการจัดการด้วยการดึงคนเหล่านี้มาร่วมงานก็เท่ากับเราได้ดึงสรรพกำลังของประเทศเข้ามามีส่วนในการพัฒนาการศึกษา เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะทำให้เกิดขึ้นแล้วก็เชื่อมั่นว่าถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จพลกำลังหรือทรัพยากรทางการศึกษาจะถูกระดมมา
…ทรัพยากรไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียวนะครับ หมายถึงความรู้หมายถึงคน หมายถงสิ่งของด้วยนี่ ก็จะถูกระดมเข้ามาแล้วการศึกษาก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้”
คุณลักษณะการศึกษาของเด็กไทยที่ท่านเลขาฯกล่าวไว้เมื่อสักครู่ความเห็นส่วนตัวท่านมองว่าคุณลักษณะด้านใดที่เด็กไทยยังขาดอยู่
ถ้าเราจะพูดเป็นเรื่อง ๆ ก็จะบอกว่าเราอาจจะด้อยเรื่องภาษา เรื่องของกระบวนการคิด เรื่องของความมีวินัย แล้วก็เรื่องของเทคโโลยีเด็กไทยใช้เทคโนโลยีเก่ง แต่ว่าเด็กไทยไม่ค่อยรู้จักวิเคราะห์แยกแยะ แต่ถ้าผมจะให้ศัพท์คำเดียวนะครับถ้าเรามีความรู้ในการใช้ชีวิตในศตรรษที่ 21 นี่ด้อยกว่าคนอื่น ซึ่งอันนี้เป็นผลการวิจัยของ OECD เราได้วิจัยร่วมกัน
คือคนไทยเก่งนะครับคือพัฒนาไป แต่ไม่พัฒนาจนสุดความสามารถ สุดฝีมือ ถ้าเต็ม 100 เราก็ได้ 70-80 เราไม่เคยถึง 100
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เรามี 6-7 เรื่องนะครับ แต่ว่าผมยกตัวอย่างแค่บางประเด็นเช่น เรื่องภาษานี่ต้องเก่งเด็กจะต้องทำงานเป็นทีมได้ เด็กจะต้องมีวินัย เด็กจะต้องมีลักษณะของการคิดวิเคราะห์ เด็กจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์มีนวัตกรรมซึ่งเรื่องพวกนี้คนไทยไม่ได้อ่อนหรือด้อยนะครับ
แต่เราเก่งไม่ถึงที่สุด ภาษาเด็ก ๆ จะบอกว่าไม่สุด ๆ นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเอาทั้งหมดนี้มาวิเคราะห์ชัด ๆ วินัยเราด้อยกว่าชาวบ้าน จะเห็นว่าคนอื่นก้าวหน้าเติบโตเพราะเขามีวินัย เราด้อยเรื่องภาษา
…คนไทยไม่ค่อยชอบการเรียนรู้ พอด้อยเรื่องภาษาเราก็หนักไปอีกคือเราไม่ชอบการแสดงออก เราไม่มีความเป็นผู้นำ และไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ เราทำงานเป็นทีมไม่เป็นแต่สิ่งเหล่านี้เรากำหนดทิศทางใหม่ ใน 2 เรื่องด้วยกันซึ่งผมคิดว่าเป็นภาพรูปธรรมมาก
ประการแรกกำลังจะมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยฉบับที่กำลังจะเกิดขึ้น
ประการที่สองจะกำหนดไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ ปี 2560 ซึ่งจะให้ไป 15 ปี
ในส่วนของรัฐธรรมนูญท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ บอกว่ามีประเด็นการศึกษาอยู่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นการบริหารจัดการประเด็นเรียนฟรีอะไรบอกนี้ แต่ประเด็นที่เป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาจะบอกไว้เลยว่าการจัดการศึกษาจะต้องให้เด็กไทยหรือคนไทยเป็นคนดีมีวินัย สามารถเรียนรู้ได้ตามความถนัดของตนเอง แล้วก็มีชีวิตในสังคมอย่ามีความสุข
...ทิศทางอันนี้เรากำลังจะเอามากำหนดในแผนการศึกษาแห่งชาติ ถ้าเราจะสร้างคนแบบนี้เราจะต้องมหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างไร แล้วหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องทำอย่างไรให้พัฒนาคนไปถึงเป้าหมายนี้ให้ได้ อันนี้ผมก็คิดว่าเป็นแนวทางที่ชัดมากและเราจะเดินไปตามแนวนี้
ปัญหาก็คือว่ากว่าที่เราจะเป็นผลเป็น 12 ปี 15 ปี เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องตัดตอนตามช่วงชั้น เพื่อให้เห็นผลสำเร็จเป็นช่วงๆ ก็จะเป็น QuickWin เป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนต่อไป”
ข้อมูลจาก :วารสารการศึกษาต้องมาก่อน ฉบับที่ 1 ปีที่ 9
http://www.4dbook.com/index.php?route=product/product&product_id=13046
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น