เรื่อง : นช.๐๐๗ Fadhill Creative Studio : ภาพ
ถ้าจะหาบุคคลในแวดวงการศึกษาที่มาสรุปคุณประโยชน์จาก ICT หรือความไร้ประโยชน์จาก ICT ในการใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอน ...คิดว่าน้อยคนที่จะกล้าสรุปความเห็นและชี้แนะข้อแนะนำ อาจจะด้วยประสบการณ์น้อย ข้อมูลไม่เพียงพอ หรือไม่เข้าใจในภาพกว้างในการใช้ ICT เพื่อการเรียนการสอน
ICT (Information Communication Technology) ในความหมาย ก็คือการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารโดยใช้เทคโนโลยี I (Information) หมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ต่างๆ ที่บันทึกเป็นระบบเพื่อนำมาใช้งาน C (Communication) หมายถึง การติดต่อสื่อสาร T (Technology) หมายถึง คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม
...ความหมายกว้างขวาง แต่สำหรับ ดร.สุวิทย์ บึงบัว หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริม สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สรุปความเป็นมาเป็นไปของ ICT ที่มีต่อการศึกษาไทยด้วยความมั่นใจและยินดีจะสนทนา เพื่อเป็น TEACHER IN SPOTLIGHT ประจำฉบับนี้
จุดเริ่มต้นการใช้การเรียนการสอน หรือ ICT ในชั้นเรียนของไทยเริ่มต้นอย่างไร
“ซึ่งถ้าพูดถึงคอมพิวเตอร์ นี่ถ้านับลงไปช่วง 2540 สมัยคอมพิวเตอร์เข้ามาใน สพฐ.ใหม่ ๆ สมัยนั้นช่วงรัฐมนตรีสุขวิช รังสิตพล ที่มีนโยบายให้คอมพิวเตอร์กับโรงเรียนทุกโรงเรียนทั่วประเทศ ก็ประสบปัญหาว่ามีบุคคลากรไม่เพียงพอ เพราะมันเป็นความอยากสำหรับครูในยุคนั้น”
งานรับผิดชอบของอาจารย์ ขณะนี้มีกรอบด้านไหนบ้าง
“...ดูแลบุคคลากรด้าน ICT คือถ้ามีงาน ICT ต่าง ๆ หรือจะทำการเรียนการสอน จะบูรณาการ การเรียนการสอนอย่างไร เราก็ต้องเตรียมการสอนนั้น ทุกเรื่องที่เป็น ICT แล้วก็จะรับผิดชอบเฉพาะ สพฐ.
...ก็จะมีทีมงานที่เป็นศึกษานิเทศน์ ศึกษานิเทศน์ก็คือครูที่มาสอบบรรจุเป็นศึกษานิเทศน์ ก็คือเป็นครูของครู คนกลุ่มนี้จะคนที่รับหลักการความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นจากหน่วยงานที่ทางเรารับผิดชอบอยู่ เราก็เป็นผู้บริหารจัดการ ถ้าเป็นเรื่องที่เรารู้เราชำนาญเราก็จะเทรนให้ศึกษานิเทศน์กลุ่มนนี้แล้วกลุ่มนี้ก็ไปถ่ายทอดถึงครู
แต่ถ้าเป็นเรื่องใหม่เราไม่รู้ เราก็ต้องเชิญคนที่รู้จริงมาให้ความรู้กับศึกษานิเทศน์ของเรา ถ่ายทอดถึงครูเพราะศึกษานิเทศน์เรากระจายทั่วประเทศเยอะมาก ซึ่ง ศน.เหล่านี้จะเป้นมือเป็นไม้ สพฐ. เราก็จะเป็นตัวกลางเชื่อมประสานต่าง ๆ รับนโยบายจากทาง รัฐบาล รัฐมนตรี จากท่านเลขาฯ ก็สั่งมาทางสำนักเทคโนโลยีการเรียนการสอนก็จะทำงาน”
ยุคนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลง บรรยากาศยุคนั้นเป็นอย่างไรพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม
“ผมยังเป็นครูอยู่เลย ...ผมก็ถือว่าเป็นครูรุ่นแรก ๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ สมัยนั้นวัสดุไม่ดีเหมือนสมัยนี้ ใช้เป็นแป็บ ๆ ก็ซ่อม ผมก็ต้องไหว้วานเพื่อนที่เก่งจบเอกคอมพิวเตอร์มาช่วยซ่อม เพราะเราจบเอกเทคโนโลยีการศึกษาซ่อมไม่เป็น
พอไหว้วานปุ๊บก็มีหลายเครื่องของโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ สุดท้ายก็เกรงใจเพื่อนก็หาวิธีซ่อมเองมารื้อมาศึกษา หลาย ๆ เครื่องก็มีทักษะซ่อมได้ เพื่อนครูหลาย ๆ คนก็เป็นแบบนี้ แต่ว่า usre ทั่ว ๆ ไป ไม่แค่กล้าจับกล้าแตะเพราะว่า Software ยังไม่ได้ เช่น พอคลิ๊กไป เจอ Mouse หา icon หาย ก็ตกใจแล้ว
นั่นคือความยากของการเข้าถึง...แต่สมัยนี้ไปดูเถอะครับคุณป้าคุณยายอายุ 70 - 80 มี line
ทำไม line จึงเป็นที่ยอมรับและฮืฮา เพราะเข้าถึงง่าย บางคนอ่านหนังสือไม่ออก แต่เมื่อมอง icon ก็สามารถคลิ๊กนั่น คลิ๊กนี่ ก็สามารถใช้งานได้ ถ่ายรูปก็ถ่ายได้
หรือรูปที่ลูกหลานส่งให้ดูก็ดูได้ ไม่ต้องพิมพ์ตัวหนังสืออะไรเลยก็สามารถดูภาพสื่อสารกันได้ นี่คือความง่ายของการเข้าถึง
รวมทั้งลักษณะของ social media ที่เข้าถึงครู ที่ครูและนักเรียนเข้าถึงด้วยกัน ส่งงานผ่านสื่อตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพสบุ๊ค youtube หรือ อะไรต่าง ๆ ที่อยู่ในยุคนี้
เพราะฉะนั้น ยุคนี้ครูต้องปรับตัวให้รู้ว่า เด็กนั่งหน้าจออยู่ได้เป็นวัน ๆ สมัยก่อนอาจจะบอกเล่นเกม แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว มีระบบ social ต่าง ๆ เข้ามา เพราะฉะนั้นการเข้าถึงตรงนี้ครูเข้าถึงได้เยอะมาก และเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งก็จะไม่ใช่เรื่องยากต่อไปแล้ว เสียหายยาก ราคาถูกลง แล้วก็ software ใช้งานง่ายขึ้น นี่คือความแตกต่างจากสมัยก่อน”
เท่าที่สัมผัสมาครูมีจุดอ่อนอะไรในการใช้เทคโนโลยี ICT บ้าง
“จุดอ่อนคือทัศนคติ ถ้าเราแบ่งคนเป็น 4 กลุ่ม ก็จะแยกเป็น
กลุ่มที่ 1 อะไรมาก็แล้วแต่วิ่งชนเลย ลองผิดลองถูก เขาเรียกพวก Innovators
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่รักเร็วจะดูกว่ากลุ่มแรกใช้ได้จริงหรือเปล่า ถ้ามีอะไรใหม่ ๆ กลุ่มนี้ซื้อมาใช้ก่อน
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่รู้ว่าเขาใช้โดยทั่วไป เหมือนกัน Smartphone เช่น คุณแม่เรา คุณยายเราเห็นเขาใช้กันทั่วไปแล้ว ที่จะเอามาใช้ แต่ยังมีอีกกลุ่มครับ ทั่วโลกและครับ มีงานวิจัยมาผมว่าน่าจะสัก 100 ปี อะไรมาก็แล้วแต่จะไม่รับ
เพราะฉะนั้นลักษณะของครูนี่ ตัวเลขกลม ๆ ประมาณ 4 แสนกว่าคน ก็จะมีคนส่วนนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง”
นับเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ไหมครับ
“โอ้...อันนี้ตอบยาก ถ้าเผื่อเอาทฤษฎีการยอมรับนวัตกรรมที่ต่างประเทศเขาวิจัยมาประมาณ 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์"
พอมาช่วงหลัง ICT บูมขึ้นฐานะที่เป็นห่วยงานประกวดสื่อนวตกรรมการสอน ครูสนใจส่งประกวดมากไหม
“ก็เป็น App นี่เยอะ”
ผลงานออกมาพอใจมาก น้อยเพียงใด
“ถ้าเป็นผลงานที่ดีและได้ขั้นมาตรฐานนี่มีไม่เยอะ เพราะว่าถ้าพูดถึงครูเรื่อง elearning ลักษณะของสื่อมีเดียและหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ครูยังมองไม่ออก ทุกคนคิดว่าเป็นแค่ website ธรรมดา เป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดาก็เป็นสื่อได้
แต่จริง ๆ แล้วในการประกวดนวัตกรรมแต่ละครั้งก็จะมีลักษณะเฉพาะของงาน เช่น เรื่องของเกมส์ ประกวดเรื่อง CAI ก็มีสเปก ซึ่งเรื่องพวกนนี้บางทีครูเขาไม่วิเคราะห์ เขาก็ส่งมา...
ถามว่าปริมาณเยอะไหม เยอะครับ แต่คุณภาพจริง ๆ คนที่เข้าใจจริง ๆ มีไม่มากเท่าไหร่ ก็มีปิระมิด คนที่รู้เรื่องจริงจะอยู่ปลายยอด เพราะฉะนั้นถ้าเรามีการประกวดกัน กลุ่มที่ได้รางวัลก็เป็นกลุ่มเดิม ๆ ครั้งนี้อาจจะไม่ได้ ครั้งต่อไปก็ได้ สลับกันอย่างนี้
...จากทำงานตรงนี้ 7-8 ปี เรื่องการประกวด เห็นคนที่เข้ามาอยู่ในวงการ หน้าตาคนที่ได้รางวัลซ้ำ ๆ กันทั้งนั้นแหละครับ จะมีหน้าใหม่บางบ้างประปราย”
บรรยากาศการตื่นตัวการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยรวมระดับประถมกับมัธยม ระดับไหนที่ดูสนใจมากกว่ากัน
“ที่ผมได้สัมผัสผมคิดว่าประถมศึกษา เหตุผลก็คือผมลงไปที่ประถมศึกษาเยอะ แล้วประถมศึกษานี่คล้าย ๆ ว่า คุณครูเขามีคุณลักษณะหลายแบบ เช่น ว่าโรงเรียนขาดแคลนโรงเรียนไม่มีอุปกรณ์เขาก็ต้องขวนขวายหา รวมทั้งโครงการต่าง ๆ
...จะสังเกตุว่าการไปช่วยโรงเรียนขนาดเล็กโดยเฉพาะเรื่อง ICT เพราะโรงเรียนขนาดเล็กนี่ ขาดแคลนครู ครูไม่ตรงสาขา ครูเหล่านี้สนใจ
แต่กับครูโรงเรียนขนาดใหญ่ ครูกลุ่มนนี้เขาไม่ค่อยตื่นเต้นกับเรื่อง ICT เท่าไหร่ เนื่องจากเขามีแก่นวิชาการที่เป็น content หลัก เช่น วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ครูไม่จำเป็นต้องไป กระตือรือร้นต้องไปหาที่อื่น มีภูมิรู้ภูมิปัญญาในตัวอยู่แล้ว อาจจะเป็นสื่อเสริมบ้างให้เขาไปค้นคว้าด้วยตัวเองโดยไปดูในเว็บไซต์ของต่างประเทศอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะวิชาหลัก ๆ ครูเขาจะไม่ใช้ ICT แล้วเขาตัวครูเองเป็นหลัก แล้วจะมีสื่อเสริมบ้าง ในเรื่องที่เขาสนใจ”
ถ้าดูภาพวงกว้าง หนึ่งอาจจะดูปริมาณคุณครูประถมศึกษาเยอะด้วยกระมั่งครับ ทำให้ครูประถมศึกษาตื่นตัวเรื่องพวกนี้มาก รวมทั้งครูมัธยมบรรจุใหม่รุ่นหลัง ๆ นี่ การใช้ ICT รุ่นหลังๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็เพราะว่าเขาจบมหาวิทยาลัยมา ช่วงที่เราเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ใช้ระบบ elearning ในการเรียนการสอน ไม่จำเป็นต้องเอกคอมพิวเตอร์ หรือเอกเทคโนโลยีทางการศึกษานะ นักศึกษาเอกประถมศึกษา คณิตศาสตร์ ก็ต้องใช้อีเลิร์นนิ่ง พอเรียนจบมาเขาก็ไม่ตื่นเต้นกับเรื่องพวกนนี้เป็นเรื่องธรรมดา
และที่สำคัญคือวิชาหลัก ๆ พวกนี้ส่วนมากจะไปอยู่โรงเรียนมัธยม วิชาหลัก วิชาเอกคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ กลุ่มเหล่านี้มัธยม แต่กลุ่มประถมจะประปราย ก็จะเน้นเอกประถมศึกษาเป็นหลักที่สอนบูรณาการได้ เพราะฉะนั้นวิชาเอก วิชาลักษณะยังค่อยจะเป็นมากเท่าไหร่”
ถ้าจะยกตัวอย่างพัฒนาการของครูสักคนที่สัมผัสกับ ICT ขอตัวอย่างจากเรื่องแท็บแล็ตที่อาจารย์เคยรับผิดชอบมา นวัตกรรมตัวนี้นำมาใช้ในการสอน ICT มีประโยชน์อย่างไร
“ถ้าจะเกิดกับตัวผมโดยตรงไม่เจอกับครูโดยตรง นอกจากมีเรื่องเฉพาะ แต่ถ้ากับหน่วยศึกษานิเทศน์ ซึ่งศึกษานิเทศน์กลุ่มนี้จะสัมผัสกับครูโดยตรง ส่วนฝ่ายฯของผมเมื่อมีนโยบายที่สัมผัสกับครูก็จะเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่ถ้าเป็นเรื่อง ICT กับครูที่ไม่รู้ มีพัฒนการอย่างไร ที่มีรู้เรื่องพวกนี้แล้วมีพัฒนาการอันนี้มีครับ ยกตัวอย่างที่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา ผมมีทีมงานท่านหนึ่งเป็นศึกษานิเทศน์ชื่อ ศน.จิระ เรืองคล้าย เป็นศึกษานิเทศน์ที่ประสบการณ์สูงและประสบกับเรื่องที่เจอบ่อย ๆ ครูคุณครูอายุมากแล้วก็ไม่ใช้เทคโนโลยี
ศน.จิระ ช่วงนั้นก็ทำงานร่วมกับเราที่ สพฐ. ช่วงนั้นก็มีเรื่อง tablet เข้ามา ก็นำtabletให้คุณครูใช้ นะครับที่แรกก็ได้รับการต่อต้าน แต่พอได้มาสัมผัส ได้มาใช้ดูประมาณ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าคุณครูติดใจเรื่องแทบแล็ตเลย คือมันง่ายแล้วสมัยนั้น เราก็สื่อที่เป็น learning object ของ สพฐ.ใส่ คุณครูคนนี้คือไม่เคยเจอสื่อ ก็เหมือนเด็กต่างจังหวัด มาเห็นอะไรก็ตื่นเต้น ครูก็ตื่นเต้นใหญ่แล้วอยู่นิ่ง แต่ตรงนั้นแล้วเป็นครูใกล้เกษียณเหลือปีสองปีก็มามุ่งมาสมาธิเกี่ยวกับการใช้ tablet เกี่ยวกับการใช้สื่อต่าง ๆ
....พอเขารู้ว่าเครื่องมือเครื่องใช้เป็นอย่างไรที่นี้ เทคนิคการสอนคุณครูไปบูรณาการเอง ก็จะมีเทคนิคการสอนว่า tablet จะใช้ช่วงไหน ใช้ช่วงก่อนเรียน ช่วงเวลาระหว่างเรียน หรือหลังเรียน หรือช่วงเวลาว่าง ตรงนี้ครูสามารถ design ได้
เพราะอะไรรู้ไหม... ครูมีทักษะในการควบคุมนักเรียนอยู่แล้ว เราสามารถรู้ว่าเด็กคนนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร เด็กคนนี้ควรใช้เวลาไหน แล้ววิธีการ control นักเรียนเป็นอย่างไร เพราะครูเหล่านี้ไม่ได้เก่งอย่างเดียวแต่มีเทคนิคดการสอน สอนเรื่องคุณธรรม จริยธรรมได้ด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือ ที่นครนายกก็มี ศึกษานิเทศน์ชื่อ ศน.สงกรานต์ วีระเจริญกิจ เขาเล่าให้ฟังว่ามีโรงเรียนหนึ่งมีเด็ก LD ประมาณ 10-15 คน คือ ปกติถ้าครูจะสอนก็ต้องสอนรวมกัน ครูก็ไม่รู้ว่าคนไหนเป็น LD ก็จะสอนเด็กไปเรื่อย คนไหนไปไม่ทันคนอื่นก็ต้องไปก่อน เพราะถ้าเผื่อรอ 10 -15 คนนี้เรียนก็ไม่ทันตามหลักสูตร
ทีนี้พอเขารู้เรื่องเด็กเขาก็ใช้วิธีแยกการสอน ก็คือช่วงที่เด็กไปได้ก็ใช้เทคนิคการสอน เช่น การสอนบรรยา การสอนใช้เกม การทำอภิปรายกลุ่ม การทำงานกลุ่ม
อันนี้ก็เป็นเทคนิคของครู แต่เด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนเรื่อง LD เขาก็จะเอาไปไว้อีกห้องหนึ่ง แล้วใช้ tablet เหมือนกัน แต่เขามีหลักการจัดการสอน เขาใช้แบบดีไซด์บอกว่าวันนี้ ชั่วโมงนี้ทำอะไรเพื่อว่าเด็กกลุ่มนี้เรียนอะไรเพื่อให้เรียนเนื้อหาตามเด็กปกติได้ ปรากฎว่าผ่านไปหนึ่งเทอม เขาบอกว่า ถ้าเผื่อเทียบกับเด็กปกติแน่นอน เทียบกับเด็ก LD ไม่ได้อยู่แล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเด็ก LD จากเดิมที่ไม่ค่อยสนจะเรียน ผลการเรียนต่ำ อ่านหนังสือออก คิดเลขเป็น ทุกอย่างดูดีขึ้นมาหมด
นั่นเพราะอะไรครับ นั่นคือพัฒนาการมาจากครู ถามว่าครูสอนเด็ก LD มากี่ปีแล้ว สอนมา 10 สิบ ปี แต่ไม่รู้ไง ก็เอา ICT มาใช้ พอรู้ว่ามีอย่างนี้ด้วยเหรอ ครูบอกน่าจะมีต้องนานแล้ว
...ไม่ใช่เรื่องยาก และครูคนนี้หลังจากที่ได้สัมผัส ก็ไปใช้คอมพิวเตอร์ ปกติไม่ได้จับคอมพิวเตอร์เลยก็ไปใช้ซอฟแวร์ต่าง ๆ ก็เหมือนมีการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ รวมทั้งถ้ามีพัฒนาการใหม่ ๆ มา เขาก็สามารถเรียนรู้รับได้ อย่างรวดเร็ว
แต่มันจะมีความยากตอนแรกเลยคือ First impressions ที่คือปัญหาที่ครูไทยมีวัยวุฒิที่สูงแล้วก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับ ICT พอได้สัมผัส ก็รู้มันทำอย่างไรแล้วมันมี ข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมือนการ design การสอน ดีไซด์การสอนผมยอมรับว่าเก่งกว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่จบไป เด็กรู่นใหม่ ๆ ที่จบมาไม่มีประสบการณ์ แตาเทคนิคการสอนไม่มี เป็นทักษะการสอนที่ต้องสะสมหลายปี เป็นลักษณะอัตลักษณ์ของตัวเอง”
อาจารย์สัมผัสกับวงการเทคโนโลยีการศึกษามาร่วม 20 ปี เท่าที่สัมผัสสื่อ ICT ประเทศเรากับต่างประเทศ คิดว่าเมืองไทยอยู่ระดับไหน
“ก็ต้องดูว่าประเทศไหน ถ้าในอาเซียน ถ้าเราแพ้ก็แพ้สิงคโปร์ เวียดนามนี่เราไม่แพ้ เรื่องการเรียนการสอนนี่เรานำแน่นอน มาเลเซียที่ผมไปสัมผัสที่บอก smart classroom นี่ก็ OK ดีเลิศอยู่แล้ว ถ้าเทียบภาพรวมก็ต้องยอมรับสิงคโปร์ เพราะความพร้อมInfrastructure คือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มากกว่าของเราขาดตรงนี้ แต่ถ้าเราพร้อมตรงนี้ผมคิดว่าเราสู่สิงคโปร์ได้
อีกอย่างสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก มันก็เหมือนบ้านเล็ก ซึ่งดูแลง่ายกว่าบ้านใหญ่ บ้านใหญ่มีความซับซ้อนเพราะคนเยอะกว่า”
อาจารย์มองว่าเราแพ้แค่สิงคโปร์ แต่ทำไมการวัดประเมินคุณภาพการศึกษาระดับนานาชาติเราดูจะแพ้หลายประเทศรอบบ้านเรา
“อ๋อ... อันนี้ผมไม่รู้สึกวิตกอะไรนะ คือต้องดูว่าประเด็นบริบทที่เขาไปวิจัย เขาวิจัยเรื่องอะไร ต้องดูคอนเท็น ดูข้อคำถาม เพราะวิจัยแต่ละเรื่องก็จะมุ่งไปคำถามในแต่ละประเด็นซึ่งคำตอบในการ ซึ่งคำตอบในการตอบคำตอบก็ไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าถามว่าการเรียนของประเทศใดมีความสุขมากที่สุข
แน่นอนครับว่าเด็กไทยจะเป็นกลุ่มประเทศอยู่ท้าย ๆ เด็กเขมร เด็กลาว ต้องดีกว่าอยู่แล้วมีความสุข เพราะอะไรครับ เพราะเด็กลาวเรียนไม่มาก เล่นเยอะ ๆ เด็กเขมรก็เหมือนกัน ซึ่งถ้าตั้งคำว่าเด็กประเทศไหนเรียนนีความสุขมากที่ แน่นอนเราแพ้อยู่แล้ว
ที่นี้ผมไม่เห็นประเด็นคำถามว่าที่ว่าผลสัมฤทธิ์ของเราตกต่ำ เรื่องอะไร ต้องไปดูว่าเขาถามด้านไหน อันนี้ก็ขอดูเพราะว่าเวลางานวิจัยออกสื่อต่าง ๆ ไม่เคยบอกเลยว่าสมมุติฐานงานวิจัย ขอบเขตงานวิจัยมีอะไรบ้างต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปเลยครับ
แต่ถ้าถามผมว่าไทยสู่อาเซียนได้ไหม ผมว่าเราสู้ได้เราสู้ะดับโลกได้ แต่ต้องดูเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น ที่เราดูคณิตศาสตร์โอลิมปิกอะไรต่าง ๆ เราก็ได้ตลอด
แต่ที่นี้มันอยู่ที่ว่า เวทีนี้เขาวัดอย่างไร รวมทั้งงานวิจัยต่าง ๆ อยากเห็นเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสก็อยากถามนักวิจัยต่าง ๆ ว่าก่อนที่คุณจะโชว์สัมฤทธิ์อะไรต่าง ๆ ออกมา คุณบอกขอบเขตมาก่อน คุณบอกสมมุติฐานงานวิจัยมาด้วยว่าต้องการวัด ต้องการหาคำตอบเรื่องอะไรอยู่ ๆ ก็เปิดผลวิจัยออกมาแล้ว...”ฐานะผู้รับผิดชอบอาจารย์มองว่ามันไม่แฟร์
“ใช่ครับมันไม่แฟร์... คือถ้าเด็กไทยไม่เก่งจริงผมถามว่าพวกที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศเป็นใคร หรืออย่างเด็กที่จับประเทศไทยแล้วเป็นหมอเก่ง ๆ ในประเทศไทย ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย ลองเอาหมอไทยกับสิงคโปร์มาแข่งกันผมว่าเราก็ไม่แพ้ ดีไม่ดีชนะด้วยซ้ำ”
อาจารย์ยกประเด็นดูจะเป้นความหวังเรื่องครูยุคใหม่ เพราะฉะนั้นคะแนได้ไหมอีก 10-20 ปี ข้างหน้าการศึกษาเราจะเป็นแบบไหน ดีขึ้นไหม
“ก็ต้องดูว่าดีขึ้นด้านไหน...
ถ้าดีขึ้นด้านทักษะ ความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี แน่นอนครับเพราะว่า ICT มันเจริญ ก้าวหน้าไปเรื่อยและแทรกซึมวงการศึกษาไปเรื่อย แล้วอีก 5-6 ปีครูประมาณแสนกว่าคนจะเกษียณ แล้วก็มีครูอีกแสนกว่าคนจะเป็นครูที่บรรจุใหม่ที่มความพร้อมเรื่องนี้เข้ามา
...ถ้าด้านคุณธรรม จริยธรรม ผมว่าต้องมีงานวิจัยรองรับ ตอนนี้ผมไม่สามารถตอบได้ เพราะถ้าเกิดจะเปรียบจากประสบการณ์เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ครูสมัยก่อนจะดีกว่าครูสมัยนี้แล้วจะไปโทษครูสมัยนี้ก็ไม่ได้ เพราะเขามีลักษณะสังคมมันแก่งแย่ง แย่งกันกิน แย่งกินขึ้นรถ แย่งกันสอบ เขาถูกหล่อหลอมมาเป็นแบบนี้
ต่างจากสมัยก่อน หล่อหลอมด้วยความรักความเอ็นดูคุณครูคือคนที่ประสิทธิประสาทวิชา ครูคือพ่อแม่คนที่ 2 นั่นคืแนวคิดสมัยก่อน สมัยนี้คือต่างกัน
ประเด็นคือว่าทักษะเรียนรู้ต่าง ๆ เรียนกันทัน สมัยนี้มีเทคนิคการสอนเยะอมากมาย แน่นอนครูรุ่นใหม่เรื่อง ICT เก่งกว่าอยู่แล้ว แต่เรื่องปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม สร้างเด็กให้เป็นพลเมืองที่ดีความคิดผมว่าสมัยก่อนทำได้ดีกว่า
ผู้บริหารปัจจุบัน เป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีต่าง ๆ ตอนนี้เป็นผลิตจากครูรุ่นเก่า เรียนอย่างไรก็เรียนชอกล์ธรรมดา หรือหลายคนเรียนกระดานชนวนมาก่อนทั้งนั้น”
ลักษณะของอาจารย์มีโอกาสคิดงานทำเองได้ไหม หรือสนองนโยบายอย่างเดียว
“ได้เป็นบางส่วนครับ ยกตัวอย่างได้นโยบายมาก็ต้องคิดว่าคุณจะdesign อย่างไร อย่างสมัยก่อนเรื่อง tablet อย่างนี้ได้จำกัดเรื่องเวลา มี timeming ให้ครูสามารถใช้ tablet ได้ทั่วประเทศ ก็ให้เรามาคิดโจทย์ว่าทำอย่างไรให้เร็วที่สุด ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ของบประมาณมาก็วิเคราะห์เป็นงาน ๆ ไป
ถามว่า create ได้ไหม่ก็ create ได้ว่าได้โจทย์มาเราทำงานอย่างไร ให้งานสำเร็จ จุล่วงตามเป้าโดยที่มีทรัพยากรจำกัด”
มีอะไรจะฝากครูยุคเก่าที่ยังใช้ชีวิตเดิม ๆ ไม่เอา ICT มาใช้การเรียนการสอน
“ครับ ! สำหรับครูยุคเก่าที่คิดว่าเหลือน้อยแล้ว ทุกคนก็ได้สัมผัสกันหมดแล้วอย่างเรื่อง smart phon ทุกคนก็เป็นเป็นเรื่องธรรมชาติ
ผมคิดว่าครูยุคเก่าที่เห็นว่า ICT เป็นเรื่องยาก ก็อยากให้ปรับทัศนคติปรับแนวคิดใหม่ ลองมาจับลองมาใช้
บางคนไม่รู้เรื่อง facebook นะครับ แต่เห็นจากเด็กนักเรียนเลยคิดหนึบเลย เพราะว่าวิธีการใช้ facebook ไม่ใช่เน้นความบันเทิงอย่างเดียว ปัจจุบัน คุณครูหลายท่านก็นำ facebook มาใช้ มาจัดการเรียนการสอน โดยมาเกลี่ยเป็นห้อง ๆ ในการเรียน มีการแลกเปลี่ยนการ share สื่อ มีการตอบคำถาม อะไรหลาย ๆ อย่างในห้อง ของ facebook อันนี้ก็เป็นระโยชน์ซึ่ง facebook ถ้าเราลองใช้ไม่ใช่เรื่องอยาก รวมทั้งช่องทางใหม่ ๆ เช่น youtube ใช้การเรียน การสอน ครูยุคเก่ามาใช้ youtube แล้วจะรู้สึกว่าง่ายเพราะ เป็น VDO ที่ไม่รู้กี่ล้านเรื่อง เอาง่ายๆ ชอบเพลงอะไรในอดีต ทูรย์ ทองใจ สุรชัย สมบัติเจริญ พิมพ์มาก็ออกเป็นชุดเลย แต่ youtube ไม่มีเฉพาะบันเทิงมีเนื้อหาวิชาการด้วย โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ก็มีคนคุณครูจากต่างชาติ post เข้าไป มีทุกวันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองค้นหาดูโดยเฉพาะ
ผมเคยเห็นครูทางท่านสอนเป็น series ได้เลยว่าสอนเรื่องอะไร โดยใช้ youtube ทำเป็นใบงาน คุณครูสมัยก่อนมาความสามารถในการจัดการชั้นเรียน มีความสามารถในการควบคุมนักเรียนมีความสามารถชี้แนะนักเรียนในแนวทางที่ถูกต้อง
แต่ว่า ICT ยังไกลตัว สำหรับบางท่านอยู่ แต่ทุกวันนี้เหลือน้อยแล้ว บางท่านบอกว่าเป็นเรื่องอยาก อยากเพราะไม่มีโอกาส ไม่มีใครใช้แนะนำว่าเป็นอย่างไร
ถ้ามีโอกาสแล้วแนะนำให้ใช้แล้วก็รู้ดีว่ามีข้อจำกัดอย่างไร”
เจ้านายคร้าบ ลองทุกอย่างแล้ว ครูเล่นบท ยายแก่แล้วใกล้เกษียณ ลูกทำเถอะ เผื่อด้วย
ตอบลบถ้านักเทคโนโลยีได้สะท้อนข้อคิดเห็นการใช้ ICT กับการเรียนการสอนของครูบ่อยๆ น่าจะทำให้ได้ข้อคิดที่ดี เกิดการรับรู้ ตื่นตัว เพราะเป็นข้อคิดเห็นที่ได้ประสบจากประสบการณ์จริงเกิดคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาครูด้าน ICT ด้วยครับ
ตอบลบถ้านักเทคโนโลยีได้สะท้อนข้อคิดเห็นการใช้ ICT กับการเรียนการสอนของครูบ่อยๆ น่าจะทำให้ได้ข้อคิดที่ดี เกิดการรับรู้ ตื่นตัว เพราะเป็นข้อคิดเห็นที่ได้ประสบจากประสบการณ์จริงเกิดคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาครูด้าน ICT ด้วยครับ
ตอบลบจะส่งเสียงสะท้อนกลับให้ ดร.สุวิทย์ทราบครับ
ตอบลบ