วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

“กริยาบุญ” ที่คุณครูร่วมสร้าง ณ ร.ร.วัดหนามแดง

การมาเยือนวัดหนามแดง จังหวัดสมุทรปราการ พลาดไม่ได้ที่จะเข้าสักการะหลวงพ่อบุญเหลือ พระประธานปางมารวิชัยในอุโบสถวัดหนามแดง อำเภอบางพลี ​
 เพียงเพ็ญ สุรารักษ์  ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดหนามแดง(เขียวอุทิศ)  

​วัดนี้ที่ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง  มีสะพานข้ามคลองในเชื่อมต่อกับถนนเทพารักษ์ภายในวัด
เมื่อเดินย้อนมาทางถนนเทพารักษ์ เราก็เจอ โรงเรียนวัดหนามแดง (เขียวอุทิศ) อ.บางพลี  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สถานศึกษาแห่งนี้สร้างเต็มพื้นที่  6 ไร่ จากที่ดินสังฆมณฑลเนื้อที่กว่า 15 ไร่  ของวัดหนามแดง โดยแบ่ง 2 ส่วนโดยมีการบริจาคให้ทางราชการ คือ โรงเรียนระดับประถมศึกษา และสถานีอนามัย

เมื่อเดินผ่านลานกีฬาอเนกประสงค์ไปด้านหน้าโรงเรียน เพื่อไปสักการะ พระพุทธโลกนาถประสาทธรรม  ประชาบพิตร  ที่ประดิษฐาน ในวิหารจตุรมุข เป็นพระประจำโรงเรียน
...เดินผ่านน้อง ๆ หนู ๆ นักเรียนตัวน้อยย่อตัวเคารพ แล้วทักทายยกมือไหว้ อย่างเป็นปกติธรรมดา รับแขกผู้มาเยือน
ที่หน้าพระพุทธรูปประจำโรงเรียนฯ เราได้พบ ชลอ  มั่นฤทธิ์  รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป/วิชาการ วัดหนามแดง (เขียวอุทิศ) บอกกับเราอย่างภูมิใจว่าที่เห็นนั่นคือ
“กริยาบุญให้เห็น ซึ่งนักเรียนโรงเรียนวัดหนามแดงทุกคนจะมีพฤติกรรมและนิสัยนี้ติดตัวไป”
ก่อนจะออกตัวว่า สำหรับอาคารสถานที่นี่แล้วไม่ได้ร่มรื่น เพราะพื้นที่จำกัด คับแคบ
“ถ้าเอาภูมิทัศน์ของสถานศึกษามาเป็นตัววัดรางวัลต่าง ๆ เราคงไม่ได้ แต่นี่เมื่อมีการประกวดพฤติกรรม วิธีสอน วิธีปฏิบัติต่อเด็กให้อยู่ในแนวทางวิถีพุทธเราก็ทำได้แต่คิดว่าทำได้ดีด้วย”
สิ่งที่เราเห็นอาคาร สถานที่เรียนในพื้นที่ 6 ไร่ ตั้งอยู่ในธรณีสงฆ์ นี่คือเอาคารเรียน  จำนวน 2 หลัง พ.ศ. 2527  ได้งบประมาณของทางราชการมาสร้างอาคารเรียนแบบ 017ใช้ชื่ออาคารเรียนว่า  “เรือนพินิจประชาสรรค์” พ.ศ. 2529 ได้รับงบประมาณจาก สปจ.สมุทรปราการ   ก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์แบบสปช 1 หลัง สร้าง พ.ศ. 2534  ได้รับงบประมาณจากสปจ.สมุทรปราการ   ก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 4   แบบสปช. 2/28  จำนวน 1 หลัง  3 ชั้น  9  พ.ศ. 2539  ได้รับงบประมาณจาก สปจ.สมุทรปราการ สร้างอาคารเรียนแบบ สปช. 2/28  จำนวน 1 หลัง อาคาร 3 ชั้น 9 ห้องเรียน  พ.ศ. 2542  ได้รับเงินบริจาคจากเอกชนเป็นอาคารเรียน  2 ชั้น  10 ห้องเรียนราคา 2,950,000 บาท  พ.ศ. 2547- 2549  ได้รับงบประมาณจาก  อบต.บางแก้วในการสร้างรั้วรอบบริเวณโรงเรียน และพ.ศ. 2551ได้รับงบประมาณจาก  อบต.บางแก้วในการสร้างลานกีฬาอเนกประสงค์

ผู้บริหารมาสร้างความเปลี่ยนแปลง

แม้นสถานที่จะแออัดแต่เมื่อ เพียงเพ็ญ สุรารักษ์  ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดหนามแดง(เขียวอุทิศ)  มารับตำแหน่งก็สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน
“...เริ่มต้นจากปรับพื้นที่จำกัดนี้ให้เข้าเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดไว้ อย่างสถานที่ห้องเรียน  ทุกห้องเรียน จะต้องมีพระพุทธรูป ต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ในห้องเรียน
ก่อนหน้านี้เรามีแต่ไม่ครบทุกห้องแล้วก็ เราก็ขอบริจาค จากนั้นก็ครบ เพราะฉะนนั้นเด็กเข้าไปในห้องก็ต้องนั่งสมาธิก่อนเรียน แล้วก็เรื่องสวมชุดขาว เป็นการสร้างบบรยากาศ ที่เหนว่าสวมชุดขาวแล้วไม่ได้อะไรมันไม่ใช่  แต่จิตใจต้องบริสุทธิ์
เด็กก็คือผ้าขาว  เราก็บอกเขาว่าหนูแต่งชุดขาวนะคะ  ต่อไปเวลาจะวิ่งจะเดิน ระวังเลอะเทอะชุดขาวบริสุทธิ์ ก็บอกไปพยายามสร้างบรรยากาศเขานิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาค่อย ๆ พูด
พฤติกรรมคุณครูก็ค่อย ๆ พูดกับเด็กเขา จากคุณครูที่พูดจาเสียงดัง พูดจากโหวกเหว  หรือตีไหล่  โมโห ก็บอกคุณครูเพลา ๆ ลอง ลองดูซิว่าประสบความสำเร็จได้ครูที่นี่ได้จริง ๆ ร่วมกับคุณครูและกรรมการสถานศึกษาปรับให้มันสอดรับกัน แล้วก็เริ่มทำโครงการเข้าไปสู่แผนปฏิบัติการฯ”

“ก่อนหน้านี้ ที่นี่เขาก็เคยเสนอโรงเรียนวิถีพุทธเหมือนกันแต่ไม่ได้จริงจังมากมาย พอตัวเองมา ก็คิดว่าจากประสบการณ์ที่เราบริหารโรงเรียนเดิม (โรงเรียนชุมชนวัดบ้านระกาศ อำเภอบางบ่อ )เราประสบความสำเร็จในเรื่อง แก้ปัญหาเด็กก็เลยเอาเรื่องวิถีพุทธมาใช้”

ทั้งนี้ความสำเร็จจากความร่วมมือทำงานการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผอ.เพียงเพ็ญ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“เราไม่คิดว่าครูเป็นลูกน้อง คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพี่เป็นน้องเพราะฉะนั้น นี่เป็นส่วนหนึ่งที่คุณครูเขาพูดนะ ว่า ผอ.ไม่เคยเรียกตัวเองว่า ผอ.เลย จะเรีบกว่าตัวเองว่าเพ็ญ  หรือ พี่
ถ้ารุ่นอายุเยอะก็หนู แต่เราก็ต้องรู้ว่าครูคนไหนจะเข้าแบบไหน ที่จะบอกให้เขาทำแบบไหน  อะไรอย่างนี้
ทุกวันนี้ถ้ามีอะไรก็ถามกัน ว่าเอาไหม เอาอย่างนี้ดีไหม พอเขาเสนอเองแล้วเขาก็รู้แนวทางดีแล้ว เขาก็จะทำไปด้วยกัน แล้วมีอะไรผิดพลาด ก็จะมาคุยกันว่าเราจะมาปรับอย่างไหนดี พอได้รับรางวัลอะไรก็มาแชร์บอกกันว่าเราประสบความสำเร็จอะไร ร่วมภาคภูมิใจด้วยกัน
...ก็ให้คุณครูได้ทราบว่าโรงเรียนเราจะไปทิศทางใดบอกกับผู้ปกครองในคราวที่ประชุม บอกครูว่าถ้าเด็กดีแล้วนี่เด็กก็จะเรียนเก่งในที่สุดอันนี้ก็เป็นธงที่สำคัญที่ให้เด็กดีมีคุณธรรมจริยธรรม
จริง ๆ ครูเขาตั้งใจทำงานมาก่อน ส่วนเราตั้งธงไว้ขายความคิดให้คุณครูให้ชัด พอชัดเจนแล้วคุณครูก็จะรู้ว่าทำอย่างไร  โดยเรากับฝ่ายบริหารค่อย ๆ เติมเต็มนะ
ทำมาจากเดิมที่เขามีอยู่แล้วกับเราที่อยู่มา 4 ปีทำนานกว่าจะได้ตรงนี้ พอได้แล้วมีโล่ห์มีเกียรติบัตรมีอะไนเราก็มาร่วมภูมิใจด้วยกัน ที่สิ่งที่เราทำมาร่วมภูมิใจ ด้วยกัน
ก็หมายถึงว่า เราประสบความสำเร็จร่วมกันแล้วพอ สพฐ. เขามาประชุมที่ มหาจุฬาฯ ที่วังน้อยก็มาดูงานที่นี่ ทาง ศน.ที่มาดูงานก็พูดให้ฟังว่า เขาเป็นอะไรบ้าง เชิญครูมาหมดเลย พอเขาพูดครูก็ดีใจ
บางคนน้ำตาซึมเลยว่า อุ้ย...เป็นแบบนี้เหรอ
เขามองดูเรา คำพูดที่ว่า  ไม่ใช่สถานที่นี่ ที่เห็น แต่เป็นตัวที่เด็ก...แล้วที่เขาชมคือ ผอ. และรองนี่เป็นประชาธิปไตย มีอะไรคุยกัน เวลาต้องปรับปรุงอะไรก็คุยทุกอย่างต้องค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ไปด้วยกัน กับคุณครูทำไปด้วยกัน เด็กเขาก็จะได้รับรู้รับทราบไปด้วยกันอะไร...

เปลี่ยนพฤติกรรมก้าวร้าวสู่นิสัยที่พึ่งประสงค์​

จากวิสัยทัศน์ของโรงเรียนที่ว่า  “ผู้เรียน ใฝ่เรียนใฝ่รู้   มีคุณธรรม  จริยธรรม  รวมใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม   รักษ์ความเป็นไทย  เรียนรู้สู่สากล  และปฏิบัติตนตามแนวคิด  เศรษฐกิจพอเพียง”
เมื่อบริหารโรงเรียนฯ มาร่วม 4 ปี แล้ว ก็มีความภูมิใจผู้บางประการ
“ปัญหาทะเลาะชกต่อยกันที่หนามแดงที่นี่มี ...มาใหม่ๆ เด็ก ป.6 ต่อยกันแล้วก็ทะเลาะกับโรงเรียนไพรีขยาด โรงเรียนคลองบางแก้ว  ซึ่งแต่เราติดต่อแก้ปัญหากันตลอด  ทางฝ่ายบริหารก็แก้ไขกัน เพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ ทีนี้ก็เริ่มคุยกันว่า เราต้องเริ่มให้ทำอย่างไร ก็มีความคิดร่วมกันว่า ต้องให้เด็กเป็นคนดีให้ได้
ทีนี้ทำอย่างไรละ  พอพีมีเรื่องของวิถีพุทธชั้นนำมา มี 29 ประการเราก็มาดูว่า ของเราจะ 29 ประการมีอะไรที่ยังบกพร่องอยู่บ้างก็เอามาเพิ่มเติม”
มาถึงปัจจุบัน ความภูมิใจที่ครูและบุคคลากรทำได้คือ

“...เราฝึกเด็กให้มีวินัยได้บางกิจกรรม แต่บางกิจกรรมอย่างเด็กเดินเปลี่ยนชั่วโมงยังให้ครูคุมอยู่  อยากให้เห็นเป็นวิถีชีวิตไม่จำเป็นครูต้องคุมให้เขาคุมตัวเขาเองให้ได้ อยากเห็นแบบนี้ทุกอย่างให้เป็นวิถีชีวิต
ตอนนี้ที่เป็นวิถีชีวิตที่ต้องชมมีมีน้องจอซ เป็นเด็กพิเศษ แต่เขาโตกว่าใคร แล้วเขาเป็นสารวัตรนักเรียนด้วย เช้าขึ้นมาเขามีหน้าที่เข็นถุงนมที่จะใส่ถุงขยะ แล้วจะเอานมมาแล้ววางไว้ให้เพื่อน ๆ  เขาโตที่สุดแต่เขาเป็นเด็กพิเศษ ร่างกายเดินแล้วเป๋ แต่เมื่อเขายกบ่อย ๆ เขาจะดีขึ้น อันนี้เป็นวิถีชีวิตที่ดีแล้วเด็กต้องตั้งใจทำงาน
อีกเรื่องคือการทำความสะอาด ถึงเวลาเพลงจากห้องกระจายเสียงดังขึ้น นักเรียนก็ไปทำความสะอาดตามหน้าที่  ครูไม่ต้องคุม โดยเฉพาะตรงโดมลานกีฬาอเนกประสงค์นี่  ถึงเวลาก็ที่จะเอาเชือกพันรอบเลยไม่ให้เด็กเดินผ่าน แล้วก็จะเอาถังน้ำมาถู โดยที่ครูไม่มี
ซึ่งถ้าครูไม่มี ไม่คุมถือว่าสุดยอดของความรับผิดชอบของเด็ก”

ข้อคิดสุดท้ายก่อนลาของ ผอ.เพียงเพ็ญ บอกว่าขอปวารณาตัวว่าอยากบริหารที่นี่จนกว่าจะเกษียณในปี 2563  ...ก็มีคำถามต่อว่าอะไรที่ยังคาใจ ฐานะผู้บริหารฯว่าน่าจะทำให้เเสร็จก่อนเกษียณ
“...การมีส่วนร่วมของชุมชนยังไม่เต็มร้อย ตอนนี้ทุกวันศุกร์มีผู้ปกครองมาใส่บาตรด้วยแค่เริ่มอนุบาล เป็นเจ้าภาพเดือนนี้ และ ป.1-2-3-4 ตอนนี้ถึง ป.4  ก็ยังมาบ้างไม่มาบ้างผู้ปกครองร่วมน้อย
อีกเรื่องคือการดึงบุคคลที่มีคุณค่า เป็นภูมิปัญญาจากชุมชน ผู้มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิต มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในตอนบ่ายก็ไม่ค่อยมี คือวันศุกร์จะมีการสวดมนต์ตอนเย็น เราจะเชิญให้เขามาพูดเดือนละครั้งนี้ แต่ที่ดำเนินการอยู่แต่ยังไม่ถือประสบความสำเร็จ...” 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น