วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

รศ.ดร.จอมพงษ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ผู้บริหารรุ่นใหม่กับความคิดรอบด้านเพื่อคุณภาพอาชีวศึกษาเอกชน

เรื่องโดย : วิชญะ   คุรุพิทักษ์  ภาพโดย : นิตยสารสกุลไทย

รศ.ดร.จอมพงษ์  มงคลวนิช นักวิชาการนักบริหารการศึกษารุ่นใหม่วัยยังไม่ถึง 40 ปี เริ่มตำแหน่งบริหารฐานะผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (สยามเทค) ตั้งแต่ พ.ศ.2551 จนปัจจุบันมวลสมาชิกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตำรงตำแหน่งนายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ “เปิดห้องบริหาร” วารสารอาชีวศึกษา ได้รับเกียรติการสนทนาครั้งนี้
ท่านนายกฯ หลังจากรับตำแหน่งแล้วบริหารงานไประยะหนึ่ง แล้วเจอปัญหาอุปสรรคการทำงานอย่างไรครับ ?
“ตั้งแต่ผมรับเสียงเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา
มาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 1 ปี 3 เดือน ก็ต้องขอขอบคุณที่สมาชิกร่วมมือร่วมใจกันดำเนินงานในการพัฒนาองค์การอาชีวศึกษาเอกชนของเรา 
...จริง ๆ แล้วในส่วนที่เป็นอุปสรรคอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ที่เรามุ่งดำเนินการก็เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นเอกภาพระหว่างอาชีวศึกษา ภาครัฐ และเอกชน นโยบายของภาครัฐในเรื่องของเงินอุดหนุนก็ดี การสนับสนุนส่งเสริม ตลอดจนถึงเรื่องสวัสดิการก็ดี และการสนับสนุนในเรื่องของวิชาการรวมถึงการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องที่เป็นประเด็นอยู่ แล้วก็นโยบายของรัฐต่างๆที่มีการขยายวงในเรื่องของการดำเนินการของภาครัฐในการจัดการศึกษามากขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่” 
หมายถึงที่ผ่านมาสมาคมฯก็มีส่วนกำหนดนโยบายด้วยเช่นกัน
“...ส่วนของสมาคมฯ เองเราได้ดำเนินการหลายๆ เรื่องแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการดำเนินงานในเรื่องของพระราชบัญญัติอาชีวศึกษาเอกชน ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาในระดับนิติบัญญัติ เพื่อที่จะมีพระราชบัญญัติกำหนดทิศทางในการดำเนินงานของการอาชีวศึกษาเอกชนเอง แล้วก็มีความเป็นเอกภาพอยู่ภายใต้โครงสร้างเดียวกับการศึกษาภาครัฐเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในเชิงนโยบาย 
โครงการต่าง ๆ ที่เราได้ดำเนินการก็มีโครงการทั้งเรื่องของการอบรม การแข่งขันทักษะ โครงการเรื่องของทวิภาคี รวมถึงโครงการที่ร่วมมือกับสถานประกอบการต่างๆ เช่น YAMAHA MOTOR CHALLENGE  ก็คือการพัฒนาผู้แข่งและพัฒนาช่างเทคนิคทางด้านของรถจักรยานยนต์ในการแข่งขัน MOTOR SPORT ผู้ชนะก็จะได้ร่วมในการแข่งขันและในระดับนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 20 ทีมที่เข้าร่วม
...มีการร่วมมือกับศูนย์คุณธรรม องค์การมหาชน กระทรวงวัฒนธรรม คัดเลือกวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน 20 แห่งเข้าร่วมโครงการพัฒนาสู่การเป็นต้นแบบอาชีวศึกษาด้านคุณธรรม มีการดำเนินการในเรื่องของการปรับพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาในเขตของกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงการพัฒนาในเรื่องของการวิจัย การให้แต่ละวิทยาลัยสามารถพัฒนาคลินิกวิจัยโดยการร่วมมือกับคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติโดยสมาคมนักวิจัยในอุปถัมภ์ของสำนักงานวิจัยแห่งชาติ เป็นต้น”
ผลงานรูปธรรมที่นายกฯคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์กับสมาชิกทั้งทั่วประเทศ ผลงานไหนที่ท่านคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ?
“ผมก็คิดว่านอกจากโครงการที่เรามุ่งในการส่งเสริมอย่างที่เรียนไปแล้วว่ามีหลายโครงการด้วยกันที่เรามีวิทยาลัยนำร่องบ้าง บางอันก็เป็นการอบรมทั่วทั้งประเทศบ้างแต่ผมคิดว่าสิ่งที่น่าได้ประโยชน์ระยะยาวก็คือเรื่องของการที่ได้จัดทำละมีมติรวมถึงเข้าสู่กระบวนการในเรื่องของพระราชบัญญัติอาชีวศึกษาเอกชน ก็จะเป็นพระราชบัญญัติอันแรกของอาชีวศึกษาเอกชน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติโรงศึกษาเอกชนเพื่อที่จะมากำกับดูแลและเป็นการวางทิศทางอาชีวศึกษาเอกชนของประเทศไทย 
นี่คือการมองในระยะยาวส่วนระยะที่ใกล้กว่านั้นผมคิดว่าโครงการต่างๆที่ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนก็ดีรวมถึงการประชาสัมพันธ์ก็ดี ซึ่งในปีที่แล้วถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่สมเด็จพระเทพฯท่านเสด็จทรงเปิดการประชุมนานาชาติ Duo Excellence ที่จังหวัดอุดรธานี โดยสมาคมร่วมกับสถานทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และ German Facturation of Professional Qualifications หรือว่าองค์กรเรื่องของวิชาชีพของเยอรมันเพื่อดำเนินการประชุมสัมมนาให้ความรู้ในเรื่องของทวิภาคีไทย-เยอรมัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นการเผยแพร่เกียรติคุณรวมถึงให้วิทยาลัยต่างๆ ผู้บริหาร และนักศึกษาได้ตระหนักในเรื่องของการอาชีวศึกษาและทวิภาคี และการเริ่มต้นในการคิดว่าจะไปสู่สากลในลักษณะใด”
พูดถึง พ.ร.บ. อาชีวศึกษาเอกชนรวมถึงการโยกย้าย สช. มาอยู่ สอศ.
“จริงๆ ไม่ใช่การโยกย้ายแต่ว่าที่เราเปิดประเด็นไว้ก็คือการที่ทำให้โครงสร้างนั้นไปมนทิศทางเดียวกัน ก็คือการที่มีทั้งอาชีวะภาครัฐและก็ภาคเอกชนรวมอยู่ร่วมกัน”
แล้วทิศทางมันเป็นยังไง ทาง สช. มีปฏิกิริยาอะไรไหม ?
“ตอนนี้ก็เป็นแนวทางเดียวกันแล้ว เพราะว่าเท่าที่ผมทราบได้เข้าสู่การประชุมองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการแล้วก็ได้เห็นชอบในแนวคิดนี้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คงเข้าไปสู่ ครม. รวมไปถึงร่างพระราชบัญญัติการอาชีวะเอกชนที่จะเข้าไปสู่กระบวนการนิติบัญญัติในการตรากฎหมายต่อไป”
นโยบายที่นายกคิดว่าน่าจะทำต่อไปหรือรู้สึกหนักในคือนโยบายอะไร ?
“ผมคิดว่าสิ่งที่หนักใจซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญก็คือเรื่องสวัสดิการของครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยสำนักงานกองทุนสงเคราะห์ ครูใหญ่ ครู และโรงเรียนเอกชน 
เราทราบดีว่าสวัสดิการเรามีความเหลื่อมล้ำจากภาครัฐมาก รวมถึงหลายๆกรณีก็อาจจะยังแย่กว่า 30 บาทรักษาทุกโรงด้วยซ้ำ เหตุผมก็มาจากการบริหารกองทุนของกองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูเอกชน หลังจากที่ได้เข้าไปพบกับท่าน ผอ. ท่านใหม่ก็ทราบแนวคิดของท่านในเรื่องของการพัฒนาต่างๆ และในวาระที่จะถึงอันใกล้นี้ ในนามของสมาคมก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการของกองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูเอกชน ก็คงจะดำเนินการในเรื่องของสวัสดิการให้ครูเอกชนนั้นมีสวัสดิการที่ดีขึ้นและเป็นเรื่องของขวัญกำลังใจให้กับครูและบุคลากรทุกคน 
อีกเรื่องที่เป็นความหนักใจแต่เราก็ดำเนินการอยู่ก็คือเรื่องของปัญหาพฤติกรรมผู้เรียนในกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปัจจุบันวิทยาลัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลได้มีการพูดคุยกันและมีการลงสัตยาบันร่วมกันในการปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียนให้อยู่ในทางที่ดีขึ้น เช่น การไม่ให้พกพาอาวุธ และมีโทษร้ายแรงหากพบเจออาวุธหรือยาเสพติดรวมถึงกำชับในเรื่องของเครื่องแต่งกาย ทรงผม และการเรียนการสอนที่มีธรรมมะเป็นพื้นฐาน เป็นต้น และได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการเรื่องนี้ แต่ก็เป็นที่วิตกอยู่อย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้เพราะว่ามีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีแอบแฝงในคราบนักศึกษาอยู่พอสมควรอันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราได้ดำเนินการแต่ผลลัพธ์ที่จะเห็นก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานานและเป็นสิ่งที่ผมอยากที่จะแก้เรื่องนี้เป็นสำคัญเนื่องจากว่าเป็นภาพลักษณ์ที่เสียของอาชีวศึกษาในภาพรวม 
แม้ว่าจริงๆแล้วมีนักศึกษาจำนวนน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนนักศึกษาเป็นล้านของประเทศที่ก่อเหตุอะไรแบบนี้ แต่ภาพที่ออกมาทำให้ภาพอาชีวะทั้งหมดเป็นจุดเสียแล้วก็นำไปสู่เรื่องของจำนวนผู้ที่จะเรียนอาชีวศึกษาด้วยและก็เรื่องผู้ประกอบวิชาชีพในระดับอาชีวศึกษาก็มีปัญหาตามมา”
ปัญหาของอาชีวศึกษานโยบายรัฐดูให้ความสำคัญกับทวิภาคีท่านนายกฯมอ
งอย่างไร
“ทวิภาคีในปัจจุบันได้รับความสนใจมากขึ้นจากทางภาคเอกชนแล้วก็มีการติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็ได้ดำเนินการพัฒนาในทิศทางที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครูฝึกในสถานประกอบการ การรับนักศึกษาในจำนวนที่มากขึ้น ในระบบทวิภาคี 
แต่ในเรื่องคุณภาพก็เป็นเรื่องสำคัญในการที่จะทำอย่างไรที่จะพัฒนานักศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน สอดคล้องกับสถานประกอบการ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะเป็นปัญหาพร้อมกับเป็นโอกาสในทางเดียวกันก็คือการขยายตัวของภาคการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีความสนใจในการนำหลักสูตรอาชีวะเข้าไปใช้ในสถานศึกษาภาคพื้นฐาน 
อีกส่วนหนึ่งก็คือความร่วมมือกับทางสำนักงานการอาชีวศึกษาในการที่จะขยายผลในเรื่องอาชีวศึกษา รวมถึงการเร่งรับนักศึกษาในจำนวนที่มากขึ้น อันนี้ก็ส่งผลในเชิงโอกาสและในเชิงปัญหาไปพร้อมๆ กัน
แต่อย่างไรก็ดี ที่ได้ยินจากท่านนายกในภาคต่างๆก็พบว่าหลายๆ ภูมิภาคก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบมีนักศึกษาจำนวนมากขึ้น แต่หลายภูมิภาค หลายส่วนพื้นที่ก็ส่งผลกระทบในเชิงลบโดยเฉพาะการที่วิทยาลัยเทคนิคต่างๆเปิดรับจำนวนมากแล้วก็ทำให้บางทีคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนก็ดี ทรัพย์ยากรที่เขามีก็ดี อาจจะส่งผลให้นักศึกษาได้รับคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ในขณะที่สถานศึกษาเอกชนที่มีความพร้อมกับไม่สามารถรับนักศึกษาได้ตามจำนวน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ได้พูดคุยกับสำนักงานการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ว่าจะมีการที่จะช่วยเหลือสมาชิกรวมถึงจะมีการสร้างรูปแบบต่างๆ เพื่อที่สมาชิกสามารถที่จะปรับประยุกต์ใช้ได้เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เรียนอาชีวศึกษาอีกทางหนึ่งด้วย”
10 ปีหลังจากนี้ไปถ้าอาชีวะยังได้รับการสนับสนุนไปด้วยดีท่านนายกคิดไหมครับว่าสังคมไทยจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างไรบ้าง ?
“ผมคิดว่าตามหลักเศรษฐศาสตร์โดยง่ายจะพบว่าที่ใดก็แล้วแต่ที่มีความต้องการมากสิ่งนั้นก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เช่น เดียวกับอาชีวศึกษาปัจจุบันความต้องการมีจำนวนเยอะมากทั้งความต้องการภายในประเทศและนอกประเทศ ในที่สุดแล้วไม่ว่าเรามีปัญหาใดๆก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าทุกภาคส่วนก็จะฝ่าฟันปัญหาไปได้เพื่อที่จะพัฒนาอาชีวศึกษาของเราและสามารถที่จะทำให้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนทั้งในเรื่องของปริมาณ 
และเรื่องของพัฒนาคุณภาพก็จะคลี่คลายลงไปได้ 
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ปัญหาของอาชีวศึกษามีความซับซ้อนอยู่ค่อนข้างเยอะเพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับผู้ปกครอง กับผู้เรียน กับสถานประกอบการ เพราะฉะนั้นก็จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย อย่างน้อยที่สุดผมคิดว่านโยบายของภาครัฐทุกวันนี้มีความชัดเจนแล้วในเรื่องของอาชีวศึกษา แต่อาชีวศึกษาเอกชนก็คงจะต้องต่อสู้ในการที่จะลดความเหลื่อมล้ำเรื่องอาชีวะภาครัฐกับภาคเอกชน ถ้าสมมติมาอยู่ในสถานภาพเดียวกันได้ก็จะทำให้การอาชีวศึกษาของทั้งประเทศสามารถพัฒนาขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น