รูปแบบการเรียน การสอนหนึ่งที่เกิดขึ้นยังจังหวัดอุดรธานี ที่ถือว่ามีรูปแบบที่ถือว่าเป็นตัวอย่างของการปฏิรูปการอาชีวศึกษาได้ดี คือ “อีสานเหนือโมเดล” เป็นการสร้างผู้เรียนให้เกิดสำนึกรักและมีทัศนะที่ดีกับการเรียนอาชีวศึกษาก่อนจะส่งไปฝึกงานยังสถานประกอบการ ซึ่งเป็นทวิภาคี 1 ปี แล้วกลับมาเรียนเพิ่มเพื่ออีก 1 ปี เป็นหลักสูตร 3 บวก 2 (ปวช.และ ปวส.รวมกัน)
บุคคลที่เป็นแกนหลักของการจัดรูปแบบการสอนนี้ขึ้นมาคือ อนุพงค์ มกรานุรักษ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ และอุปนายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย นำความภูมิใจมาเปิดเผยหลังจัดการเรียนการสอนมาร่วม 10 ปี
แก้ปัญหาขาดทักษะ ด้วยการเรียน Project-Based
ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ เปิดเผยถึงระยะเริ่มต้นการทำอีสานเหนือโมเดลว่า เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากการเรียนรู้ขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเรื่องของการบูรณะหลักสูตรเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผู้เรียน จุดหลักมองว่าหลักสูตรที่ใช้ในการเรียนการสอน เป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนเป็นพื่นฐานวิชาความรู้ต้องมีทักษะมาระดับหนึ่งแล้ว
“...เพราะฉะนั้นด้วยพันธกิจของเราที่จะสร้างนักวิชาชีพ อยากให้ผู้เรียน เรียนสายอาชีพแล้ว แล้วก็ออกไปประกอบวิชาชีพอย่างแท้จริง การเรียนการสอนต้องเน้นการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็หัวใจการจัดการเรียนการสอนอาชีพศึกษาจริง ๆ ควรจะเป็นรูปแบบทวิภาคี เราบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นมาว่าทำอย่างไรเราจะจัดการเรียนการสอน ให้เด็กได้สอนใจและมีความรู้อย่างมีความสุข
เราก็ได้พบว่าเรียนรู้โดยผ่านการ Project-Based โดยนำเอาชิ้นงานเอาเรื่องราวที่ต้องการมาสร้างนั้นพูดเลย ขึ้นมาเรียนเลย เสร็จแล้วเราก็นำเอาทฤษฎีในแต่ละศาสตร์เข้าใส่ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เด็กมีความอย่างเรียน เด็กมีความสนุก แล้วก็อยู่กับงานนั้นโดยที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เเรียนหนังสือ”
จากรูปแบบการเรียนการสอนที่เรียกว่าอีสานเหนือโมเดลนี้ วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ ได้อะไรบ้าง
“ถ้านำ KPI มาวัด ผมจะประสบผลสำเร็จ ถ้ามีเด็กนักเรียน ตั้งใจมาเรียนสถิติการมาเรียนเพิ่มขึ้นมากแล้วเด็กสนใจ ใส่ใจ เราถือว่านั้นเป็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่ได้เกินคาด สามารถสร้างเด็กได้ติดทีมชาติ ให้เด็กนักเรียนสามารถคว้ารางวัลพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ถ้วยคิงส์คัพมาครอง ซึ่งสิ่งที่เราทำนั้น เราปลุกให้เด็กทุก ๆ คน ไม่ได้สอนและไม่ได้ปั้นให้แค่เด็ก 2-3 คนว่าเอา 2-3 คนปั้นให้ติดทีมชาติ แต่วิทยาลัยอีสานเหนือเน้นหนักไปที่เราจะทำอย่างให้เด็ก 80 เปอร์เซ็นต์ของวิทยาลัยเรียนรู้ได้อย่างมีทักษะอย่างมีวิชาชีพ อย่างแท้จริง
สำหรับคนที่โดดเด่น ก็คือ โอเค หมายถึงคุณโดดเด่นนั้นคือคุณเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่เราอยากเห็นว่า ถ้าคุณสำเร็จการศึกษาคุณสามารถออกไปประกอบวิชาชีพ คุณสามารถเอาไปหาเลี้ยงตัวเอง มีองค์ความรู้ต่าง ๆ นานา”
ฝึกงานฝึกตนเป็นฝีมือชนคนสร้างชาติ
องค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของอีสานเหนือโมเดลคือ การจัดหลักสูตรที่เน้นทวิภาคีที่ยั่งยืน เฉลิมพล วุฒินันท์ธนิศา รองฝ่ายทวิภาคี วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ เปิดเผยว่า ระบบทวิภาคีที่โดดเด่นของวิทยาลัย เทคโนโลยีอีสานเหนือคือ ทางวิทยาลัยจะคัดเลือกสถานประกอบการ ขั้นตอนแรกคือการจะคัดเลือกสถานประกอบการขั้นตอนที่ดี ที่ผ่านมาวิทยาลัยฯ ทำความร่วมมือกับบริษัทฮอนด้าออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด บริษัทแคนนอนไฮเทคประเทศไทย และ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด
“สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งเขาจะมีระบบและการบริหารงานที่ดี ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจะเลือกสถานประกอบการคือ เราจะเลือกจากวัฒนธรรมองค์กรที่ดีก่อน”
แต่ก่อนจะส่งนักเรียนเข้าฝึกงานมีกระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรเริ่มต้นมาก่อนแล้ว
รองฝ่ายทวิภาคี ของวิทยาลัยฯ กล่าว่า “ส่วนใหญ่กระบวนการจัดทำอีสานเหนือโมเดล คือ ปีที่ 1 เราจะปลูกฝังเกี่ยวกับความเป็นจิตอาสา ปีที่ 2 เราจะให้เด็กเลือกสถานประกอบการโดยที่สถานประกอบการแต่ละบริษัท สถานประกอบการจะเข้ามาประชาสัมพันธ์ที่วิทยาลัย หลังจากนั้นเด็กจะเป็นคนเลือกเอง
ปี 2 เด็กจะเลือกเองว่าไปไหน ปี 3 เด็กจะฝึกฝนเทรนนิ่งทักษะเฉพาะทาง แล้วเด็กจะเทรนนิ่งเฉพาะทาง สุดท้ายเราก็จะให้เด็กเป็นคนเลือก เด็กผู้ชายจะไปฮอนด้า เด็กผู้หญิงหรือสายพาณิชย์จะไปสายบริหารหรือแคนนอน”
แต่กว่าจะได้รูปแบบที่เป็นแบบอย่างได้อย่างทุกวันนี้ก็มีการลองผิดลองถูกมาด้วยเช่นกัน
“...ก่อนนี้เมื่อเราจะทำแรก ๆ ก็จะเกิดปัญหาเด็กไม่มีความพร้อม แต่หลังจากที่เราทำมาได้ตอนนี้ 10 ปีแล้ว สิ่งที่เราได้ตอนนี้ คือมีความพร้อมแล้ว เพราะว่าที่เกิดขึ้นในปีแรก ๆ เราเอามาปรับปรุงแก้ไข ตอนนี้เราได้รับการยอมรับจากสถานประกอบการว่าเด็กเรามีความอดทนมีระเบียบวินัย และที่สำคัญคือเด็กมีความองค์กร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเรียกว่านิสัยอุตสาหกรรม เพราะว่าวิทยาลัยของเราส่งเด็กไปฝึกงาน 1 ปี ซึ่งแตกต่างจากหลาย ๆ สถาบัน ซึ่งบางสถาบันปีฝึก 4 เดือน 6 เดือน แต่เราไปฝึก 1 ปีครับ เพราะเราเชื่อว่า 1 ปีจะหล่อหลอมเด็ก”
หล่อหลอมวินัยด้วยวัฒนธรรมองค์กร
แล้วทำไมต้องบริษัทญี่ปุ่น คำตอบของผู้บริหารท่านนี้คือ “บริษัทญี่ปุ่นจะหล่อหลอมเด็กให้มีนิสัยอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นนิสัยที่สถานประกอบการอย่างได้เพราะว่าปัจจุบันนี่ สถานประกอบการไม่อยากได้คนเก่ง แต่อยากได้คนที่มีความอดทนมีระเบียบวินัยมีความรักองค์กร คุณภาพของเด็กที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้ขึ้นกับสถานประกอบการ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนสถานประกอบการที่มีคุณภาพ
ดังนั้นในอนาคตสถานประกอบการที่มีคุณภาพ ในการที่ให้เด็กไปสถานประกอบการคิดว่านะจะเพิ่มแต่ต้องคิดดูอยู่ที่คุณภาพ และระบบการดูแลของสถาน ประกอบการ
…ส่วนเหตุผลที่ทางวิทยาลัยต้องส่งนักศึกษาไปฝึกงานไกล ๆ อย่างที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา เพราะว่าเราคิดว่าถ้าเด็กอยู่ภายใต้โอบกอดของผู้ปกครอง ถ้าเด็กเหนื่อยลำบาก เด็กก็จะหยุดฝึกงานเลย โดยที่พ่อแม่ไม่มี พาว์เวอร์ให้เด็กกลับไปฝึกงานได้เลย แต่ถ้าเราเอาเด็กไปไกลสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจอย่างดี แล้วเราก็เด็ดขาดพอนะครับที่จะพอว่าถ้านักศึกษาไม่มีความสามารถพอที่จะอยู่ในกระบวนการเรียนรู้อย่างนี้ได้”
ในส่วนตัวนักศึกษาที่ผ่านการฝึกงานมา 2 คนที่เข้ามาเรียน ปวส.2 ก่อนจบการศึกษา มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีคำบอกเล่า
วีระชัย สินศิริ ปวส. 2 บอกว่า ไปฝึกงานที่ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์(ประเทศไทย) จำกัด ทำเกี่ยวกับควบคุมกับเครื่องจักรการปั้มขึ้นรูป
“ถึงตอนนี้ผมก็ฝึกความอดทน คือเข้ากะดึก กะเช้า 2 คือการอยู่หอร่วมกับเพื่อน แล้วก็ตรงต่อเวลา”
กิตติมา ทิพย์สุภา ปวส. 2 กันเช่น บอกว่า “หนูจะอยู่ในเรื่องพิมพ์ที่จะเป็นเครื่องอะไหล่ของเครื่องเสียง ประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทน ความขยัน แล้วก็การตรงต่อเวลาเพราะว่า ตัวหนูเองฐานะไม่ค่อยดี พ่อแม่ก็ทำงานทุกวัน โดยที่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี สิ่งทีไ่ด้นอกจากความมีวินัยแล้วยังมีความรักองค์กร จากที่ไม่เคยทำงานแล้วมาได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นแปดพันบาทถือว่าสูงมาก สำหรับนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งแล้วก็ยังสามารถ ก็สามารถส่งกลับครอบครัว ให้มีรายได้และสามารถสร้างฝัน อีกหนึ่งฝันคือสร้างบ้านหลังใหม่ให้แม่ได้อีก”
หลังผ่านการฝึกงานมานักศึกษาเป็นอย่างไรบ้างพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เมื่อมาเรียนอีก 1 ปี ก่อนจบการศึกษา รองฝ่ายทวิภาคี วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานเหนือ กล่าวว่า
“อย่างแรกคือการมีระเบียบวินัยของเขา มาเข้าแถวทุกเช้าด้านระเบียบวินัยเครื่องแต่งกายนี่ต้องบอกว่าแป๊ะมาก และที่สำคัญคือเขามีใจอยากที่จะเรียน เมื่อก่อนตอนอยู่ ปวช 2-3 เด็กไม่ตั้งใจเรียน จะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เห็นความสำคัญของการทำงาน แต่พอหลังเด็กกลับมาเด็จจะตั้งใจเรียนมาก
แล้วพอเรายกตัวอย่างอะไรเกี่ยวเกียวโลกภายนอกเด็กเด็กก็จะเข้าใจครับ เหมือนกับว่าเราเรียน Inside Out เรียนจากข้างนอกมา แล้วพอเรายกตัวอย่างเขาจะเข้าใจ
สุดท้ายเด็กรู้จักการเก็บเงิน เพราะว่าเด็กได้ไปฝึกอาชีพทำให้รู้ว่าเงินมีค่า ก่อนที่เขาจะขอพ่อแม่แต่ละบาทเมื่อก่อนเขาขอไม่ได้คิดปัจจุบันนี้เด็กรู้จักการใช้เงินมากครับ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เยาวชนไทยในอนาคตต้องมีครับ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น